สมาคมฟุตบอลฯ แจงหลังฝ่ายคัดค้านการใช้ธรรมนูญใหม่ฟีฟ่าไม่เห็นด้วยกับ 2 ข้อ คือการดำรงตำแหน่ง 4 ปี จาก 2 ปี และการลดเสียงจาก 184 เหลือ 72 เสียง ว่าบทร่างที่ออกมาฟีฟ่าได้เข้ามาศึกษาตั้งแต่ปี 2553 โดยเฉพาะสูตรการเลือกตั้งถึงขนาดขอรายชื่อสโมสรในเมืองไทยทั้งหมดไปวิเคราะห์ก่อนหาจุดที่ลงตัวที่สุดออกมา ส่วนวาระการดำรงตำแหน่งเป็นข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลงได้ โดยรอ พ.ร.บ.กีฬา ฉบับใหม่ออกมาก็สามารถทำให้สอดคล้องกับฟีฟ่าได้ กระนั้นอยากให้สโมสรสมาชิกซักถามในเรื่องที่ค้างคาใจ หรือข้อสงสัยกับผู้แทนฟีฟ่าโดยตรงในวันที่ 8 ส.ค. จะดีกว่าว่าหน้าตาธรรมนูญใหม่ทำไมถึงออกมาเป็นเช่นนี้

 ประเด็นการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ฝ่ายไม่ยอมรับธรรมนูญใหม่ของฟีฟ่าได้หยิบขึ้นมาวิเคราะห์ และมองว่าจากทั้งหมด 83 ข้อที่ได้ร่างออกมา มีอยู่ 2 ข้อที่รับไม่ได้ ก็คือการดำรงตำแหน่งวาระการบริหารงานที่เปลี่ยนแปลงจาก 2 ปี เป็น 4 ปี และการกำหนดสิทธิ์ของผู้ลงเลือกตั้ง จาก 184 เสียง เหลือ 72 เสียง

ด้าน "บิ๊กเปี๊ยก" องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หากเราไม่ยอมรับธรรมนูญใหม่ฟีฟ่าในทุกข้อที่กำหนดออกมา คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากฟีฟ่าได้มีการดำเนินการร่วมกับสมาคมฟุตบอลฯ มาตลอดตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2553 เพื่อทำให้ธรรมนูญใหม่มีความสอดคล้องกับกฎหมายไทยมากที่สุด

 "คณะกรรมการฟีฟ่าได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยถือว่าเป็นข้อสรุปที่ชัดเจน แต่พระราชบัญญัติของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้มีวาระการบริหารงาน 2 ปี กระนั้นถือว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะทุกอย่างเป็นข้อบังคับไม่ใช่กฎหมาย"

นอกจากนี้ "บิ๊กเปี๊ยก" กล่าวเพิ่มเติมว่า เรากำลังรอพระราชบัญญัติของการกีฬาแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ที่จะคลอดออกมา คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนระยะเวลาดำรงตำแหน่งของนายกสมาคมฟุตบอลฯ จาก 2 ปี เป็น 4 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมนูญฟีฟ่า

ส่วนประเด็นเรื่องของคะแนนเสียงที่ได้กำหนดไว้ 72 เสียง ฟีฟ่าได้เป็นคนที่เข้ามาศึกษา และขอรายชื่อทีมฟุตบอลทั้งหมดของเมืองไทย ไม่ว่าจะในลีกและฟุตบอลถ้วย เพื่อไปหาสูตรการเลือกตั้งออกมา และผลที่เกิดขึ้นเราจำเป็นต้องเคารพการตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ ตามแนวทางที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งสมาคมฟุตบอลฯ ได้เชิญผู้แทนจากฟีฟ่ามาร่วมชี้แจงให้กับสโมสรสมาชิกได้รับทราบอีกครั้งในวันที่ 8 ส.ค. โดยสโมสรไหนไม่เข้าใจ หรือมีข้อสงสัยก็อยากจะให้ไปสอบถามโดยตรงกับฟีฟ่าจะดีที่สุด พ่อบ้านลูกหนังไทยกล่าว