10 เกมคลาสสิคพรีเมียร์ลีก
Posted 26/05/2015 by siamsport
ส่วน เบิร์นลี่ย์ กับ ควีนส์พาร์ค ก็ต้องควงกันกลับไปในที่ที่เคยอยู่อย่างเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก่อน ฮัลล์ ตกตามในวันสุดท้ายของซีซั่น
และในอดีตตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกแต่ละซีซั่นมักมีเกมสุดแสนประทับใจให้เราได้บันทึกไว้ในความทรง จำกันตลอด วันนี้เลยถือโอกาสขุดเอา 10 เกม "สุดคลาสสิค" มาให้คุณๆได้รำลึกความหลังกัน ไปดูว่าซีซั่นล่าสุดมีเกมไหนพอเทียบเคียงได้บ้าง...
1) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 - เชฟฯ เว้นส์เดย์ 1 (10 เมษายน 1993)
ปีศาจแดงในช่วงเวลานั้นพยายามคว้าแชมป์ลีกมาครองให้ได้ เป็นครั้งแรก ภายใต้การคุมทัพของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งพวกเขาต้องขับเคี่ยวกับ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า อย่างถึงพริกถึงขิง
เกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากจอห์น เชอริแดน ซัดจุดโทษให้ทีม "นกเค้าแมว" บุกมานำไปก่อนในนาที 64
แต่เรื่อง "คลาสสิค" ก็เกิดขึ้น เมื่อสตีฟ บรู๊ซ (กุนซือฮัลล์ ซิตี้คนปัจจุบันนี่แหละ) กัปตันทีมแมนฯ ยูไนเต็ด โหม่ง 2 ประตูภายใน 4 นาทีให้ปีศาจแดงพลิกนรกกลับมาแซงชนะได้อย่างเหลือเชื่อ
ยูไนเต็ดกวาดชัยรวดตลอด 5 เกมสุดท้ายเมื่อซีซั่น 1992-93 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกจากทั้งหมด 13 ครั้งในยุคของเฟอร์กี้ได้ในที่สุด
2) คริสตัล พาเลซ 1 - แมนฯ ยูไนเต็ด 1 (25 มกราคม 1995)
อีก 1 เกมคลาสสิคที่อยู่ในใจใครหลายคน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ดีงามนัก เอริค คันโตน่า สตาร์ฝรั่งเศสของแมนฯ ยูไนเต็ด โดนไล่ออก หลังจากไปหวดใส่ริชาร์ด ชอว์ กองหลังพาเลซ ในขณะที่สกอร์เสมอกันอยู่ 1-1
และระหว่างเดินออกจากสนามเพื่อเข้าสู่ห้องแต่งตัว "ก็องโต้" ก็ถูกสาวก "ดิ อีเกิ้ลส์" พูดจาหยาบคายใส่ตลอด โดยเฉพาะหนุ่มน้อยวัย 21 นาม "แม็ทธิว ซิมมอนส์" ที่คงจะปล่อยคำผรุสวาทได้โดนใจก็องโต้ที่สุด ดาวเตะฝรั่งเศสจึงให้รางวัล ด้วยการแหวกฝูงชนเข้าไปกระโดดถีบแบบ "กังฟู" ใส่ในที่สุด
จากเหตุการณ์นั้น คันโตน่าโดนสโมสรปรับเงินก้อนโต ส่วนสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) สั่งแบนยาวเป็นเวลานานถึง 8 เดือน พร้อมสั่งให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอีก 120 ชั่วโมง
บทสรุปในซีซั่นนั้น ยูไนเต็ดต้องเจอกับความเจ็บปวดแบบ "ดับเบิ้ล" เมื่อเสียแชมป์ให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่เฉือนพวกเขาแค่แต้มเดียว บวกกับการเป็นแค่รองแชมป์เอฟเอ คัพ หลังแพ้เอฟเวอร์ตันในนัดชิงชนะเลิศ
3) ลิเวอร์พูล 4 - นิวคาสเซิ่ล 3 (3 เมษายน 1996)
ถูกยกให้เป็น 1 เกมสุดคลาสสิคตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก โดยมีลิเวอร์พูล และ นิวคาสเซิ่ล เป็น 2 นักแสดงนำ เพียงแค่ 15 นาทีแรก ก็เกิดขึ้นถึง 3 ประตูแล้ว จากร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เลส เฟอร์ดินานด์ และ ดาวิด ชิโนล่า ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยการที่สาลิกาดงนำ 2-1
ต้นครึ่งหลังฟาวเลอร์ก็ยิงตีเสมอให้ "หงส์แดง" ได้ ก่อนที่ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า จะซัดให้ "สาลิกาดง" ออกนำอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่ถึง 100 วินาที แต่สแตน คอลลีมอร์ ก็ตะบันลูกเปิดของเจสัน แม็คเคเทียร์ ให้ทีมสีแดงแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ไล่ตีเสมอเป็นครั้งที่ 3 ของเกม
เข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม ความหวาดเสียวตื่นเต้นเริ่มก่อตัวมากขึ้น ก่อนที่เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ 2 ตัวเก๋าจะช่วยกันประสานงานเพื่อเปิดทางให้ "คอลลี่" หลุดเข้าไปยิงประตูชัยส่งหงส์แดงแซงชนะในช่วงทดเจ็บแบบเหลือเชื่อสุดๆ
4) เซาธ์แฮมป์ตัน 6 - แมนฯ ยูไนเต็ด 3 (26 ตุลาคม 1996)
ครึ่งปีให้หลังจากเหตุการณ์ "เสื้อเทา" ทำพิษ ในการบุกไปแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-3 ที่เดอะ เดลล์ "ผีแดง" ก็โดน "นักบุญ" ทำบาปใส่อีกครั้ง
ยูไนเต็ดเหลือแค่ 10 คน ตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรกของเกม เมื่อรอย คีน โดนไล่ออก ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยการตามหลังถึง 1-3 แม้เดวิด เมย์ จะยิงไล่มาเป็น 2-3 แต่ในช่วง 7 นาทีสุดท้ายของเกม ใครจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกถึง 4 ประตู
2 แข้งนักบุญอย่างเอยัล เบอร์โควิช มิดฟิลด์อิสราเอล ยิงประตูที่ 2 ของเขาในเกมนี้ ขณะที่เอกิล ออสเท่นสตัด หัวหอกนอร์วีเจี้ยนก็กระหน่ำ "แฮตทริก" ได้สำเร็จ ก่อนที่พอล สโคลส์ จะยิงประตูปลอบใจให้ผู้มาเยือน
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุด ยูไนเต็ดยังคงลงเอยด้วยการเป็นแชมป์อยู่ดี แม้การแพ้เละเกมนี้จะถูกขนาบข้างซ้าย-ขวา ด้วยการแพ้นิวคาสเซิ่ล และ เชลซี ที่สกอร์ 0-5 และ 1-2 ตามลำดับก็ตาม
5) อาร์เซน่อล 2 - เลสเตอร์ 1 (15 พฤษภาคม 2004)
แม้ในส่วนของตัวเกมจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเกิดขึ้นของ "ประวัติศาสตร์" หน้าใหม่ อาร์แซน เวนเกอร์ แอนด์ โค อาจเริ่มต้นซีซั่นอย่างตะกุกตะกัก แต่สุดท้ายพวกเขาคว้าแชมป์มาครองด้วยการ ไม่แพ้ใครเลย
2 เฟรนช์แมนคนสำคัญอย่างเธียร์ อองรี และ ปาทริค วิเอร่า ช่วยกันยิงคนละประตู พลิกสถานการณ์กลับมาแซงชนะเลสเตอร์ ที่ออกนำไปก่อนจากผลงานของพอล ดิ๊คคอฟ
พร้อมช่วยให้อาร์เซน่อลทำสถิติคว้าแชมป์แบบ "ไร้พ่าย" ทาบเจ้าของเดิมอย่างเปรสตัน เมื่อซีซั่น 1888-89 ได้ในที่สุด
6) อาร์เซน่อล 4 - สเปอร์ส 4 (29 ตุลาคม 2008)
อีก 1 เกมสุดคลาสสิคของพรีเมียร์ลีกในเวอร์ชั่น "นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้" เป็นการคุมทัพ "ไก่เดือยทอง" เกมแรกของแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์หลังการจากไปของฆวนเด้ รามอส
เดวิด เบนท์ลี่ย์ อดีตเด็กปืน สนองคุณทีมเก่าด้วยลูกยิงไกลสุดสวยเกือบ 40 หลาให้สเปอร์สออกนำก่อน แต่อาร์เซน่อลก็เอาคืนทีเดียว 3 ดอกเน้นๆ จากมิกาแอล ซิลแวสตร์, วิลเลี่ยม กัลลาส และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ให้กันเนอร์สพลิกกลับมานำ 3-1
เข้าสู่ช่วง 25 นาทีสุดท้าย ดาร์เรน เบนท์ ยิงตีตื้นให้สเปอร์สไล่มาเป็น 3-2 แต่แค่นาทีเดียว โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็ซัดให้เจ้าถิ่นรักษาระยะห่าง 2 ประตูเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามในนาทีสุดท้าย เจอร์เมน จีนาส ปั่นโค้งให้ไก่เดือยทองฮึดขึ้นมาเป็น 3-4 ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำได้ดีที่สุดเท่านี้ แต่ความคลาสสิคก็บังเกิดขึ้นจนได้ เหลืออีกไม่กี่วินาทีก็จะจบเกม
ลูก้า โมดริช ลองเสี่ยงยิงไกล บอลพุ่งไปชนโคนเสากระดอนออกมาเข้าทางอารอน เลนน่อน ที่ตามแปซ้ำเข้าไปช่วยไก่เดือยทองเก็บแต้มออกมาได้อย่างเหลือเชื่อสุดๆ
7) แมนฯ ยูไนเต็ด 4 - แมนฯ ซิตี้ 3 (20 กันยายน 2009)
โฟกัสของศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้เที่ยวนี้คือการรีเทิร์นสู่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดของคาร์ลอส เตเวซ แต่กลายเป็นว่าคนที่ขโมยซีนไปเต็มๆคือแข้งใหม่ในช่วงซัมเมอร์นั้นของยูไน เต็ดอย่างไมเคิ่ล โอเว่น ที่นำชัยให้ทีมได้ในช่วงทดเจ็บ
ประตูของเคร็ก เบลลามี่ ในนาที 90 ก็น่าจะช่วยให้ซิตี้แชร์แต้มด้วยผลเสมอ 3-3 ได้อยู่แล้ว แต่โอเว่น ซึ่งย้ายมาแบบฟรีๆ ก็สอดเข้ามายิงลูกแทงทะลุช่องของไรอัน กิ๊กส์ ให้ยูไนเต็ดคว้าชัยได้สำเร็จในนาที 97 อันเป็นประตูแรกในสีเสื้อปีศาจแดงของเขาด้วย
8) นิวคาสเซิ่ล 4 - อาร์เซน่อล 4 (5 กุมภาพันธ์ 2011)
เป็นอีก 1 สุดยอดเกมแห่งการคัมแบ็ก เมื่อสาลิกาดงค่อยๆกลับมาตามตีเสมอได้สำเร็จ ทั้งที่โดนนำไปก่อนแบบกระจุยถึง 0-4
4 ประตูจากธีโอ วัลค็อตต์, โยฮัน ฌูรู และ การเหมา 2 ของโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ แค่ในช่วง 26 นาทีแรก ช่วยให้กันเนอร์สอยู่แบบสบายๆ
แม้อาบู ดิยาบี้ จะโดนไล่ออกในนาที 50 แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า อาร์เซน่อลจะต้องเจอบทสรุปอย่างที่เห็น
ในช่วง 22 นาทีสุดท้าย โจอี้ บาร์ตันซัดจุดโทษให้สาลิกาดงตีไข่แตก ก่อนที่ลีออน เบสต์ จะตีตื้นขึ้นมาอีกประตู จากนั้นเข้าสู่ช่วง 10 นาทีท้าย บาร์ตันยิงอีก 1 จุดโทษให้เจ้าถิ่นตามมาจ่อคอหอยอาร์เซน่อล
ก่อนที่ชีคห์ ติโอเต้ จะทำให้ทูน อาร์มี่ในเซนต์ เจมส์ พาร์ค แทบคลั่ง จากลูกวอลเล่ย์ระยะไกลของเขาที่เสียบตาข่ายอย่างสุดสวย พร้อมเป็นการทำลายความหวังในการลุ้นแชมป์ของปืนโตด้วย
9) แมนฯ ยูไนเต็ด 1 - แมนฯ ซิตี้ 6 (23 ตุลาคม 2011)
นี่คือการพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดของยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นับตั้งแต่ปี 1955 พร้อมเป็นการเปิดตัวผู้ท้าชิงแชมป์หน้าใหม่อย่างซิตี้ด้วย
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันให้นิยามผลการแข่งขันเกมนี้ว่า "เป็นวันที่แย่ที่สุดของสโมสรแห่งนี้" โดยซิตี้ได้ 6 ประตูจากเซร์คิโอ อเกวโร่, ดาบิด ซิลบา และ การเบิ้ลของมาริโอ บาโลเตลลี่ และ เอดิน เชโก้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 81 ปี ที่ผีแดงโดนยิงถึง 6 ประตูในบ้านด้วย
อีกไฮไลท์จากเกมนี้ ก็คือการท่าทางหลังยิงได้ของบาโลเตลลี่ ที่เขาหันหลังให้ประตูพร้อมถลกเสื้อแข่งเพื่อโชว์เสื้อยืดข้างในที่มีข้อ ความว่า "Why Always Me?" (ทำไมต้องเป็นผมตลอด ?) เพื่อเป็นการตอบโต้สื่อฯที่รุมโจมตีเรื่องราวนอกสนามของเขานั่นเอง
10) แมนฯ ซิตี้ 3 - ควีนส์พาร์ค 2 (13 พฤษภาคม 2012)
สุดยอดเกมแห่งการชี้แชมป์ลีก ที่คลาสสิคและดราม่าแบบสุดๆ ซึ่งช่วยให้แมนฯ ซิตี้คว้าพรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในปะวัติศาสตร์ โดยเฉือนชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่างยูไนเต็ดด้วยผลต่างประตูได้-เสียเท่านั้น
อดีตกุนซือเรือใบอย่างมาร์ค ฮิวจ์ส นำคิวพีอาร์มาช็อกทีมเก่าด้วยการออกนำ 2-1 หลังผ่าน 20 นาทีแรกของเกม เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้าย แฟนเรือใบบางคนยอมแพ้ต่อโชคชะตาด้วยการทยอยเดินออกจากเอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยความชอกช้ำ
ก่อนที่เอดิน เชโก้ จะโขกประตูตีเสมอได้ในการออกสตาร์ทช่วงทดเจ็บ ปลุกความหวังอันน้อยนิดของซิตี้ให้กลับมาเรืองรองอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ เมื่อมาริโอ บาโลเตลลี่ไหลให้เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงประตูชัยให้ซิตี้แซงชนะ 3-2 ในช่วงทดเวลาเจ็บนาทีที่ 5 พาทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปีอ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
แฟนหงส์กลุ้ม!โอริกี้ติดทีมยอดแย่ลีกเอิง
ดิว็อค โอริกี้ ศูนย์หน้า ลิเวอร์พูล โดน เลกิ๊ป เลือกติดทีมยอดแย่ของ ลีก เอิง ในซีซั่น 2014-15 หลังทำประตูในลีกได้แค่ 8 ลูกจากการลงสนาม 33 เกมผีสูญเงินอื้อต่อการสับไก1ครั้งของฟัลเกา
ราดาเมล ฟัลเกา หัวหอกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งส่งตัวกลับไปให้ โมนาโก ฟอร์มแย่สุดๆ เมื่อเขาลองยิงเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง จนทำให้ "ปีศาจแดง" ต้องเสียเงินถึง 432,432 ปอนด์ ต่อการสับไกยิง 1 ครั้งของแข้งวัย 29 ปี รวมถึงเสียไป 4 ล้านปอนด์ต่อ 1 ประตูของ "เอล ติเกร" ด้วยนอริชขึ้นพรีเมียร์!อัดโบโร่2-0ซิวตั๋วใบสุดท้าย
กลับลีกสูงสุด !! "นกขมิ้น" นอริช ซิตี้ โชว์ฟอร์มสุดแกร่ง อัด มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 คว้าตั๋วเลื่อนชั้นใบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย ตาม บอร์นมัธ และ วัตฟอร์ด สู่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในการแข่งขัน ฟุตบอล แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ เพลย์ออฟ เลื่อนชั้น นัดชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมาหงส์ใช้แลมเบิร์ตล่อใจวิลล่ายอมขายเบนเตเก้
สื่ออังกฤษ แฉ ลิเวอร์พูล วางแผนใช้ ริคกี้ แลมเบิร์ต กองหน้าจอมเก๋า เป็นส่วนหนึ่งในสัญญาซื้อ คริสติย็อง เบนเตเก้ ดาวยิงทีมชาติเบลเยียม ของ แอสตัน วิลล่า หวังทำให้ ทิม เชอร์วู้ด กุนซือ "สิงห์ผงาด" ใจอ่อน ยอมปล่อยตัวออกจาก วิลล่า พาร์ค
TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน
ซูฮกโคตรทีม! เลเวอร์คูเซ่น สร้างสถิติไร้พ่าย 48 เกมเท่า เบนฟิก้า
วิเคราะห์บอล เรอัล มาดริด พบ กาดิซ วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2567
วิเคราะห์บอล โรม่า พบ ยูเวนตุส วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2567
อาจเปลี่ยนได้!เผยทีมวาง ชปล. ซีซั่นหน้าจากคะแนนปัจจุบัน
เหลือเวลา 1 เดือนคัดบอลโลก! แข้งไทยต่างแดนฟอร์มแจ่มแค่ไหน?
อัลบั้มภาพเด็ดๆ
ฮาน่า ฮาอึน ชอง ดาว TikTok สาวสว...
นาฟ ฉัฐนันท์ ปล่อยแซ่บท้าลมหนาว ...
เต็มที่แล้ว! ไทย พ่าย อุซเบกิสถา...
ตัดเกรด นักเตะไทย เกมเสมอ โอมาน ...
"ศุภชัย" ซัดเบิ้ล! ไทย ทุบ คีร์ก...
โดนรัวครึ่งหลัง! ไทย บุกพ่าย ญี่...
คลิปไฮไลท์