เมื่อสถานการณ์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น (หลังเสมอ เชลซี 0-0 และชนะ สวอนซี 2-1)

 นั่นหมายถึงความมั่นคงมากขึ้นในตำแหน่งผู้จัดการทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ด้วย!

        ชัดเจนนะครับว่าเบื้องบนของสถาบันปีศาจแดงโดยหัวหน้าคณะอย่าง ฯพณฯ เอ๊ด วู้ดเวิร์ด ไม่คิดที่จะปลดผู้จัดการทีมวัย 64 ขวบผู้นี้ออกจากตำแหน่ง แม้จะมีเหตุผลอันชอบธรรมประมาณ 999 ข้อที่สามารถทำได้แบบไม่น่าเกลียดก็ตาม

        ก่อนเกมล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด ทำตัวน่าเบื่อมาก ไม่ชนะ 8 นัดติดต่อกันทุกรายการ ตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลุดจาก 4
อันดับแรกของตารางพรีเมียร์ลีก และตามหลังจ่าฝูงถึง 9 แต้ม

        ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือสุดยอดผู้จัดการทีมอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่เพียงแต่จะว่างงานอยู่ พี่แกยังแสดงทีท่าว่าอยากจะมาเป็นพ่อใหญ่คนใหม่แห่ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกด้วย

        แค่นี้ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้วนะครับ

        ยิ่งเปรียบเทียบกับ เรอัล มาดริด ที่เพิ่งจะบรรจงถีบ ราฟาเอล เบนิเตซ ออกจากตำแหน่ง (ทั้งที่สถานการณ์ของทีมชุดขาวก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอยู่ในอันดับที่ 3 ของตาราง ตามหลังจ่าฝูงเพียงแค่ 4 แต้มเท่านั้น) ยิ่งมีความชอบธรรมเข้าไปใหญ่ในการปลด หลุยส์ ฟาน กัล ออกจากตำแหน่ง

        แต่ถ้าจะปลดคงปลดไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้สถานการณ์มันกระเตื้องขึ้นแบบนี้หรอก

        น่าเสียดายที่ประธานสโมสรของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ทั้งโรคจิตและบ้าอำนาจ

        ขอบอกว่า หลุยส์ ฟาน กัล ทั้งเส้นใหญ่และตายยากมากกว่า "เจสัน" ทั้ง 9 ภาค ขนาดโดนถังแก๊สยัดรูทวารหนักแล้วกระหน่ำ จุด 44 แม็กนั่ม เข้าใส่พร้อมตะโกน "ไปลงนรกซะ" จนระเบิดตูม ไฟลุกท่วม ก่อนค่อยๆ จมลงไปในทะเลสาบคริสตัล เลค เรียกว่าเธอฆ่าแบบไม่ให้เกิดชาติหน้า

        นาทีต่อมามันกลับโผล่ขึ้นมาแสยะยิ้มสยดสยองพลางถามนางเอกด้วยเสียงสั่นเครือว่า "มียาหม่องมั้ย...ดีออก?"

        หลุยส์ ฟาน กัล กับ เจสัน วอร์ฮีส นี่ตายยากพอๆ กันเลยครับ 555

        ฉะนั้น & ฉะนี้

        ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องหวังว่าจะมีคนโดนไล่ออก และไม่ต้องจินตนาการว่าจะได้ โชเซ่ มูรินโญ่ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ เพราะท่านอาจารย์หลุยส์น่าจะอยู่เป็นมิ่งขวัญของบรรดา เร้ด อาร์มี่ ไปจนครบสัญญา 3 ปีนั่นแหละ

        ...ว่าแล้วก็ต้องขอแสดงความยินดีกับเด็กผีทุกหมู่เหล่าด้วย

        ในเมื่อต่อต้านไม่ได้ก็ต้องเข้าร่วมไปเลยครับ

  ไหนๆ พี่แกก็ไม่โดนไล่ออกและไม่ลาออก บรรดาเด็กผีก็ควรเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกุนซือเหนือโลกท่านนี้ด้วยการมองโลกให้เป็นสีชมพูพร้อมทำใจและยอมรับในปรัชญาของคุณพี่เขาให้จงได้

        อย่างน้อยในเกมล่าสุด หลุยส์ ฟาน กัล ก็พยายามที่จะเอาใจแฟนๆ มากขึ้น

        ด้วยวิธีการเล่นที่เสี่ยงมากขึ้นพร้อมระบบการเล่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้

        3-2-4-1

        เอ่อ..อ..อ..อ..อ..ผมไม่ได้พิมพ์ตัวเลขผิดนะครับ ระบบการเล่นที่ท่านอาจารย์หลุยส์นำมาติดตั้งให้ลูกทีมในเกมล่าสุดคือ 3-2-4-1 ไม่ใช่ 3-4-2-1 ไม่ใช่ 3-6-1 ไม่ใช่ 3-5-1-1

        กองหลัง 3 ตัวผสมผสานความยึดหยุ่นระหว่างเซนเตอร์ฮาล์ฟกับฟูลแบ็กเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

        ไมค์ สมอลลิ่ง เป็นจุดศูนย์กลางของกองหลัง

        ขนาบข้างด้วย ฟิล โจนส์ ทางขวาและ ดาเล่ย์ บลินด์ ทางซ้าย ซึ่งทั้งคู่ต้องเป็นทั้งเซนเตอร์ฮาล์ฟและฟูลแบ็ก

        จุดสำคัญคือมิดฟิลด์ตัวทำลายอย่าง มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน จะต้องลงมาเป็นเซนเตอร์ฯ อีกตัว โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์

        ระบบนี้ไม่มี "วิง-แบ็ก" นะครับ มีแต่ปีกริมเส้นที่เล่นเกมรุกอย่างเดียว

        แอชลี่ย์ ยัง กับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ถูกวางให้เป็นปีกขวาและปีกซ้าย โดยมีหน้าที่กระชากลากเลื้อยเปิดเกมรุกอย่างเดียว โดยแทบไม่ต้องพะวงกับเกมรับ เพราะในแผงหลัง 3 ตัวยังมีแบ็กอาชีพอย่าง ฟิล โจนส์ กับ ดาเล่ย์ บลินด์ ที่สามารถถ่างออกมาช่วยซ้อนในตำแหน่งฟูลแบ็ก

        เมื่อใครสักคนถ่างออกมาเล่นเป็นฟูลแบ็ก มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ก็จะถอยต่ำลงมาเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟอีก 1 ตัว

        ระบบนี้มีความเสี่ยงที่จะเสียประตูมากขึ้นก็จริง แต่สังเกตได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีเกมรุกวูบวาบมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งเกมริมเส้นทั้ง 2 ข้างที่กดจนคู่แข่งให้ตั้งรับจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้น

        นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมศูนย์หน้าตัวเป้าที่หมดสภาพไปแล้วอย่าง เวย์น รูนี่ย์ ถึงมีโอกาสทำประตูมากขึ้น

        2 ประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ก็มาจากการเปิดจากทางด้านข้าง

        เมื่อเล่นแบบกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น อัตราความสนุกสนานก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน

        คอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตอย่างผมพอจะเข้าใจในปรัชญาของท่านอาจารย์หลุยส์ที่เน้นการครองบอลเป็นหลักนะครับ

ฟุตบอลสมัยใหม่ ผลการแข่งขันมีความสำคัญมากกว่าความเมามันของท่านผู้ชม

        อย่าลืมว่าทีมที่มาเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มักจะเน้นเกมรับแน่นหนาแล้วค่อยหาจังหวะสวนกลับ โดยไม่เปิดพื้นที่หรือช่องว่างให้ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่แล้ว        

        โอกาสในการทำลายตาข่ายของปีศาจแดงจึงค่อนข้างน้อย และนั่นคือเหตุผลบอกว่าทำไม 9 เกมล่าสุดในโรงละครแห่งความฝัน เจ้าของบ้านถึงทำประตูในครึ่งเวลาแรกไม่ได้เลยสักลูกเดียว!

        เมื่อโอกาสในแต่ละเกมค่อนข้างน้อย มันจึงขึ้นอยู่กับความเด็ดขาดและเฉียบคม หรือเรียกอีกอย่างว่าประสิทธิภาพในการทำประตูนั่นแหละ

        แมนฯ ยูไนเต็ด มีปัญหาตรงจุดนี้ชัดเจน

        เมื่อ หลุยส์ ฟาน กัล ได้รับความไว้วางใจให้อยู่ต่อก็ต้องแก้ปัญหาตรงจุดนี้เป็นอันดับแรก

        แล้วเดือนมกราคมก็เดินทางมาเยือนเมืองมนุษย์พอดี

        ปัญหาคือการเซ็นสัญญาคว้าตัวผู้เล่นใหม่ในเดือนมกราคมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แถมยังมีเวลาตรึกตรองน้อยมาก

        กองหน้าคนใหม่ ปีกคนใหม่ และกองหลังคนใหม่คือตำแหน่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ

        ที่สำคัญคือซื้อมาแล้วต้องใช้ได้เลยไม่ต้องลอง

        อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านเดือนแรกของปีไปแล้วปีศาจแดงจะได้สมาชิกใหม่มาเสริมทัพกี่คน

        ผ่านไปครึ่งฤดูกาล ผลงานโดยรวมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังค่อนข้างน่าผิดหวังนะครับ เพราะไม่ติดแม้กระทั่ง 4 อันดับแรก

        ตราบใดที่ หลุยส์ ฟาน กัล ยังคงวางตูดทับเก้าอี้ผู้จัดการทีมต่อไป เด็กผีก็ต้องทำใจกับการเชียร์บอลแบบสโลว์ไลฟ์ไปก่อน เพราะคิดอีกมุมหนึ่ง ลุงอ้วนเหน็บชาแกเพิ่งทำงานได้แค่หนึ่งฤดูกาลครึ่งเท่านั้นเอง

        ตอนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมใหม่ๆ ผลงานของปีศาจแดงก็ไม่ได้ไฉไลขึ้นแบบทันตาเห็น

        ฤดูกาลแรกที่ป๋าเข้ามาแทน รอน แอตกินสัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1986 แมนฯ ยูไนเต็ด จบที่อันดับ 11 ของตาราง

        ฤดูกาลที่ 2 ของคุณป๋า (1987-88) แมนฯ ยูไนเต็ด พุ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 ก็จริง แต่ตามหลังแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล ถึง 9 แต้ม

        ฤดูกาลที่ 3 ผลงานของ แมนฯ ยูไนเต็ด จากขุมกบาลของเฟอร์กี้ฟอร์มหล่นฮวบฮวบลงมาอยู่ในอันดับที่ 11 ของตารางอีกครั้ง

        อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงถูกจ้องมองด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจจากทั้งเบื้องบนและแฟนบอลในฤดูกาลต่อมา (1989-90) ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ตกอยู่ในภาวะวิกฤตต้องกระเสือกกระสนและดิ้นรนอยู่แถวกลางตารางจนกระแสขับไล่เริ่มก่อตัว ก่อนจบซีซั่นด้วยอันดับที่ 13 แต่ยังดีที่ฤดูกาลนั้น พลพรรคปีศาจแดงคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ "เฟอร์กี้" ในวัยที่ยังไม่ถึง 50 กะรัตจึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิดที่สุด

        มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ ประธานสโมสรของ แมนฯ ยูไนเต็ด และนาทีนั้นเผยในภายหลังว่าต่อให้ไม่ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ กุนซือชาวสกอตต์ก็ไม่ถูกไล่ออก แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับ

        ลองไม่ชนะ คริสตัล พาเลซ ในนัดชิงชนะเลิศที่ "รีเพลย์" อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็คงไม่มีทางสร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ต่อไปแน่

        เทียบวิกฤตในตอนนี้กับตอนโน้น ผลงานของ แมนฯ ยูไนเต็ด จากภูมิปรัชญาของ หลุยส์ ฟาน กัล ยังบรรเจิดกว่าเยอะครับ

        จุดนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ช่วยพยุงลุงอ้วนแกให้ได้รับโอกาสนั่งเขียนอัตชีวประวัติของตัวเองในสมุดโน้ตเหมือนเดิม

        ส่วนบรรดาเด็กผีผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจสามง่ามคงทำอะไรไม่ได้มากกว่ายอมรับในตัว หลุยส์ ฟาน กัล ไปก่อน

        รออีกแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ครบ 3 ปีแล้วครับ