ตำรวจควบคุมตัวประธานสโมสรเพื่อนตำรวจ ในข้อหาฉ้อโกง สกสค. เป็นจำนวนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท เบื้องต้นไม่อนุญาตให้ประกันตัวก่อนฝากขังต่อศาลอาญาในวันพรุ่งนี้ ส่วนในชั้นศาลจะมีการประกันตัวหรือไม่นั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาต่อไป

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลดุสิต คุมตัว "เดอะบิ๊ก" สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ เดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อสอบปากคำเพิ่มในกรณีที่บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ของนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเสี่ยบิ๊ก
  มีการกู้เงินกับกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) จำนวน 3 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท แต่ทาง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และ บุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้มีการตรวจสอบพบว่าไม่ได้มีการทำเรื่องกู้ที่ถูกต้องตามขั้นตอน เรื่องจากการกู้ยืมดังกล่าวไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจาก สกสค. และยังพบว่าเอกสารที่ใช้ในการกู้ยังเป็นเอกสารปลอม ไม่สามารถใช้เป็นเอกสารหรือหลักฐานในการค้ำประกันเงินกู้ได้จริง จนต่อมาได้มีการร้องให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช เข้ามาตรวจสอบ จนได้มีการดำเนินคดีกับ นายสมศักดิ์ ตาไชย อดีตเลขาธิการ สกสค. และ นายเกษม กลั่นยิ่ง ประธานกองทุนสนับสนุนพิเศษ ช.พ.ค. ที่พบว่าเข้าข่ายทุกจริตและ ป.ป.ง.ได้เริ่มมีการดำเนินการในการยึดทรัพย์ไปแล้วบางส่วน โดยมีพลตำรวจโทศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มาสอบสวนด้วยตัวเอง

พลตำรวจโทศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเปิดเผยว่าหลังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และ บุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนว่านายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ"เสี่ยบิ๊ก" ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจได้ทำธุรกรรมทางการเงินกับสกสค. จำนวนหลายครั้ง เป็นจำนวนเงินกว่า2,000 ล้านบาท แต่มีเอกสารบางตัวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตั้งแต่ปี2556 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของคดีได้

จากการสอบสวนผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงินกับ สกสค.จริง แต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกง และขอสู้คดีตามกฏหมาย ซึ่งตำรวจได้แจ้งข้อหา ร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม ,ร่วมกันฉ้อโกง,ร่วมกันออกเช็กเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ก และร่วมกันออกเช็กในขณะเช็กนั้นไม่มีเงินอยู่บัญชี อันจะพึงให้ใช้เงินได้โดยทางผู้ต้องหาไม่ประสงค์ที่จะให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว

สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตามหมายจับศาลอาญาตั้งแต่วันที่15มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจับกุมได้ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ในระหว่างสอบสวนเพื่อรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวนนั้นไม่อนุญาตให้ประกันตัวซึ่งจะขออำนาจศาลอาญาฝากขังในวันพรุ่งนี้ส่วนในชั้นศาลจะมีการประกันตัวหรือไม่นั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาต่อไป