จากความร่วมมือกับ Nissan เราทำการเจาะลึกบรรดาจอมถล่มประตูของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ลำดับถัดมาที่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ประกาศตัวเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก Goal King ด้วย วิธีการที่สุดแสนจะอลังการ ในค่ำคืนที่สุดแสนพิเศษ ต่อคู่แข่งซึ่งเป็นทีมที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน รายการนี้

ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทัพของเจอร์เกน คล็อปป์ กลายเป็นตำนานแห่งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2012-13 ในช่วงเวลานั้นพวกเขาเปลี่ยนจากทีมนอกสายตาให้กลายเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์ ท้าชิงตำแหน่งแชมป์ได้อย่างสวยหรู

และเลวานดอฟสกี้ก็มีส่วนสำคัญในปรากฏการณ์นี้ เมื่อผลงานสุดฮ็อตยิงคนเดียว 4 ประตูของเขาในรอบรองชนะเลิศนัดแรกกับเรอัล มาดริด แชมป์ UCL 9 สมัย ทำให้เสือเหลืองเป็นฝ่ายชนะไปก่อน 4-1 จากโอกาส 10 ครั้ง เขาส่งบอลไปกองก้นตาข่ายได้ 4 ประตู และเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเจ้าตัวในรายการนี้

ประตูแรกของเขาเกิดจากการชิงจังหวะเข้าฮอสกับกองหลัง ก่อนจะเข้าชาร์จจ่อๆ จากจังหวะโยนเข้ากลาง ส่วนประตูที่สองเป็นการหมุนตัวอย่างชาญฉลาดและปิดสกอร์อย่างเฉียบคมในกรอบ 6 หลา ขณะที่ในลูกที่สามนั้นเลวานดอฟสกี้ดึงบอลหลบการสกัดของเปเป้ และตะบันบอลตุงตาข่ายเต็มข้อ และในประตูที่สี่เป็นการยิงจากจุดโทษ ที่เล่นเอาดิเอโก โลเปซ พุ่งไปคนละทาง

นับจากคืนนั้น เลวานดอฟสกี้ก็กลายเป็นจอมถล่มประตูที่ยุโรปต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง เขากลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามหมายตา ในยุคที่ศูนย์หน้าตัวเดียวเป็นแผนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เขากลายเป็นผู้เล่นเนื้อหอมจากความครบเครื่องทุกรูปแบบในการเล่นตำแหน่งนี้

จาก 30 ประตูที่เลวานดอฟสกี้ทำได้ มีเพียง ประตูเดียวเท่านั้นที่ยิงจากนอกกรอบเขตโทษ 22 ประตูเกิดจากเท้าขวา อีก 4 ประตูจากเท้าซ้าย และอีก 4 จากการโหม่งแต่เขายังมีอย่างอื่นมากกว่าประตูที่ทำให้เลวานดอฟสกี้เป็นที่ ต้องการเหลือเกิน

ด้วยเทคนิคที่ยอดเยี่ยม, การเคลื่อนไหว, พละกำลัง, รูปร่างที่สูงใหญ่ และความเข้าใจในบทบาททำให้เขากลายเป็นอาวุธทำลายล้างในฟุตบอลสไตล์ เฮฟวี เมทัล ของคล็อปป์ รวมถึงปรับตัวเข้ากับเกมในสไตล์ฟุตบอลคลาสสิค ของเป็ป กวาร์ดิโอลา ได้เป็นอย่างดีในทีมบาเยิร์น มิวนิค หลังจากที่ทำได้ 17 ประตู จาก 28 นัดให้ดอร์ทมุนด์ เขาทำได้ไป 13 ประตู จาก 18 นัดไปให้บาเยิร์น มิวนิค ไปเรียบร้อยแล้ว นับแต่ย้ายมาเมื่อปี 2014

เลวานดอฟสกี้ยังพิสูจน์ตัวเองให้เห็นอีกด้วยว่าเขาคือคนที่ทำผลงานได้ดี ในเกมใหญ่ เมื่อมีถึง 12 ประตู จาก 30 ประตูของเขาที่มาจากเกมสำคัญในรอบน็อคเอาท์ และเป็นประตูอันล้ำค่าในเกมเยือนด้วยจำนวนเดียวกัน

ดาวเตะทีมชาติโปแลนด์มีชีวิตค้าแข้งซึ่งน่าเหลือเชื่อ จากดาวรุ่งซึ่งเคยถูกปรามาสว่าอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นนักฟุตบอลได้ เขาเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งด้วยความขึ้นชื่อในเรื่องของความขยันทุ่มเท ทั้งในสนามซ้อมและก่อนแข่งขัน โดยในช่วงเริ่มต้นชีวิตนักเตะอาชีพ เขาต้องเดินทางถึง 2 ชั่วโมงเพื่อไปถึงสนามซ้อม

ถึงแม้จะไม่ได้มีจุดจบแบบเทพนิยายจากฟอร์ม 4 ประตูของเลวานดอฟสกี้เมื่อปี 2013 เมื่อดอร์ทมุนด์ของเขาเป็นฝ่ายแพ้บาเยิร์น มิวนิค ไปในรอบชิงชนะเลิศ แต่เขาก็ยังเป็นแถวหน้าของจอมถล่มประตูในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงเป็นนักเตะคนแรกและคนเดียวที่ทำได้ถึง 4 ประตู ในหนึ่งนัดของการแข่งขันรายการนี้ในรอบรองชนะเลิศ

จนถึงตอนนี้ เขาเพียงตามหลังเพื่อนร่วมทีมอย่าง โธมัส มุลเลอร์ อยู่ 3 ประตู และตำนานสโมสรอย่างแกร์ด มุลเลอร์ อยู่ 5 ประตู ในการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของบาเยิร์น มิวนิค และตำนานของโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จะยังไม่จบลงแค่นี้อย่างแน่นอน