ตลอดระยะเวลากว่า 365 วันของปี 2017 มีเหตุการณ์ต่างๆบนโลกฟุตบอลมากมายที่เกิดขึ้น ซึ่งทางทีมงานได้รวบรวม 10 เหตุการณ์สำคัญที่แฟนบอลน่าจะจดจำและเก็บไว้เป็นเรื่องราวในความทรงจำต่อไป

1. ค่าตัวเนย์มาร์

เดิมสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกเป็นของ ปอล ป็อกบา เมื่อครั้งย้ายจากยูเวนตุส มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยเงิน 89 ล้านปอนด์ แต่หลังจากที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยอมทุ่มเงินจ่ายค่าฉีกสัญญาของ เนย์มาร์ จำนวน 198 ล้านปอนด์ หรือ ราว 222 ล้านยูโร ทำให้ดาวเตะทีมชาติบราซิล เป็นผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดโลกคนใหม่ทันที

อย่างไรก็ตาม แฟนบอลหลายคนมองว่า เนย์มาร์ คือคนที่จะสืบทอดตำนานในถิ่น คัมป์ นู ต่อจากรุ่นพี่อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ แต่สุดท้าย เนย์มาร์ ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาในถิ่น ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ โดยที่ไม่ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของ เมสซี่ อีกต่อไป

2. เรอัล มาดริด ป้องกันแชมป์ยุโรปทีมแรก

 นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก ยูโรเปี้ยน คัพ มาใช้ชื่อ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 1992 ยังไม่มีสโมสรไหนที่จะป้องกันแชมป์รายการนี้ได้เลยจนเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ราชันชุดขาว ก็ประกาศศักดาเป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จหลังเอาชนะ ยูเวนตุส 4-1 ที่กรุงคาร์ดิฟฟ์

ในรอบ 4 ปีหลังสุด เจ้าของแชมป์สูงสุด 12 สมัย คว้าไปถึง 3 นับได้ว่าพวกเขาคือ ราชันแห่งยุโรป อย่างแท้จริง

3. มหากาพย์ คูตินโญ่

 หลังต้องเสีย เนย์มาร์ ออกจากทีมทำให้ บาร์เซโลน่า จำเป็นต้องหาผู้เล่นระดับท็อป มาทดแทน โดยเป้าหมายคือ คูตินโญ่ เพลย์เมคเกอร์ตัวเก่งของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของ ชาว"หงส์แดง"

การเจรจากินเวลานานกว่าสองเดือน โดยมีน้ำหนักการย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ มากกว่าที่จะอยู่ต่อ ซึ่งตัวของ คูตี้ เองก็แสดงท่าทีที่ต้องการจะไปร่วมถิ่นคัมป์ นู ทำให้ช่วงแรกของการเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก เจอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องดรอปเจ้าตัวออกจากทีมหลังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

แต่สุดท้ายเมื่อถึงวันเดดไลน์ตลาดซื้อ-ขาย ลิเวอร์พูล ใจแข็งบอกปัดทุกข้อเสนอที่ยื่นเข้ามา ทำให้ดาวเตะหมายเลข 10 ยังคงอยู่สวมชุดสีแดงเพลิงต่อไป

4. ชาติใหญ่ไม่ได้ไปบอลโลก

หลังจบรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนยุโรป เราได้รู้ว่า ทีมชาติฮอลแลนด์ อดไปโชว์เพลงแข้งที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นเหตุให้ อาร์เยน ร็อบเบน ขอลาทีมชาติทันที แต่ถึงอย่างไรคงไม่ช็อคเท่ากับการที่ ทีมชาติอิตาลี เจ้าของแชมป์โลก 5 สมัย ต้องโบกมือลาทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน

อิตาลี ต้องลงเล่นรอบเพลย์-ออฟกับสวีเดน ซึ่งหลายคนมองว่า ไม่ใช่งานหนักเกินไปที่ อัซซูรี่ จะทำได้แต่สุดท้ายพวกเขาก็พ่ายทัพไวกิ้งที่ผลรวมสองนัดแพ้ไป 0-1 ทำให้ต้องอดลงเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 60 เลยทีเดียว

เท่านั้นยังไม่พอ ทีมชาติสหรัฐอเมริกา ขาประจำฟุตบอลโลกในยุคหลังก็ต้องตกรอบคัดเลือกเช่นเดียวกับทีมชาติชิลี ซึ่งมีดีกรีเป็นเจ้าของแชมป์โคปา อเมริกา ที่ต้องอดไปดินแดนหมีขาวเช่นกัน

5. แมนฯซิตี้ ชนะต่อเนื่องในลีก

นับตั้งแต่เสมอกับเอฟเวอร์ตันในเกมลีกนัดที่สอง ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็เดินหน้าคว้าชัยชนะได้ต่อเนื่องแบบไม่มีสะดุดจนสร้างสถิติเป็นทีมที่ชนะติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกอังกฤษ

อย่างไรก็ตามสถิติดังกล่าวต้องหยุดไว้ที่ 18 นัด เมื่อขุนพลเรือใบสีฟ้าทำได้เพียงเสมอกับ คริสตัล พาเลซ 0-0 ในวันสิ้นปีพอดี

6. โรนัลโด้ คว้าบัลลง ดอร์ สมัย 5 เทียบเท่าเมสซี่

จากการพาต้นสังกัด เรอัล มาดริด คว้าดับเบิล แชมป์ทั้ง ลาลีก้า และ ป้องกันแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ กอปรการคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ รวมถึงเป็นดาวซัลโวสูงสุดของถ้วยใบใหญ่ยุโรป เมื่อฤดูกาลที่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะคว้า บัลลง ดอร์ ได้ในปีนี้

ซึ่งจากการคว้าบัลลง ดอร์ 2017 นับเป็นการคว้ารางวัลนี้ครั้งที่ 5 ของเจ้าตัวเทียบเท่ากับ ลิโอเนล เมสซี่ คู่แข่งด้านลูกหนังจากบาร์เซโลน่า ซึ่งในปีหน้าต้องลุ้นกันว่า โรนัลโด้ จะสามารถต่อยอดคว้าเป็นสมัยที่ 6 ได้หรือไม่

7. ปีทองของทีมชาติอังกฤษ

นับตั้งแต่คว้าแชมป์โลกได้เมื่อปี 1966 ทีมชาติอังกฤษก็ไม่เคยคว้าแชมป์รายการใดๆได้อีกเลย แต่ในปี 2017 อย่างที่ทุกคนทราบกัน คือ ทีมชาติอังกฤษแม้จะไม่ใช่ทีมชาติชุดใหญ่ คว้าแชมป์โลกได้ถึงสองรุ่น คือ รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีและ รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี

ในรุ่นยู 20 ปี ยังไลออนส์ ประกาศศักดาคว้าแชมป์โลกได้ที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยมีนักเตะที่แจ้งเกิดในรายการนี้ เช่น โดมินิค โซลันกี้, โดมินิค คัลเวิร์ธ-เลวิน รวมถึง อเดโมล่า ลุคแมน

ส่วนในชุดยู 17 ปี ที่ประเทศอินเดีย ปราบทั้ง บราซิล ในรอบรองชนะเลิศ และ สเปน ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งมีขุมกำลังหลัก อาทิ ไรอัน บรูวสเตอร์ จากลิเวอร์พูล, ฟิล โฟเด้น จาก แมนฯซิตี้

ในอนาคตเชื่อว่าเด็กๆหลายคนจากทีมชุดนี้จะก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ได้อย่างแน่นอน ซึ่งจากการวางรากฐานให้ความสำคัญกับทีมชุดเยาวชนของอังกฤษอย่างจริงจัง จะต่อยอดทำให้พวกเขาใกล้เคียงคำว่าแชมป์โลกอีกครั้ง

8. โมนาโก คว้าแชมป์ลีกเอิง กับการแจ้งเกิดของ เอ็มบัปเป้

ไม่มีใครคิดว่า ปารีส แซงต์ แชร์แม็ง จะพลาดแชมป์ลีกในประเทศเนื่องจากขุมกำลังเหนือกว่าคู่แข่งในลีกหลายช่วงตัว แต่กับ โมนาโก คือทีมที่ทำให้ เปแอสเช ต้องน้ำตาตกอดแชมป์ลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

แข้งหลายคนแจ้งเกิดกับทีมชุดนี้ไล่จากหลังไปแดนหน้า อาทิ เบนฌาแม็ง เมนดี้, ฌิบริล ซิดิเบ้, ติเอมูเอ้ บากาโยโก้, ฟาบินโญ่, โตมาส์ เลอมาร์ ที่ขาดไม่ได้คือ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ เจ้าหนูดาวรุ่งที่ปัจจุบันย้ายไปร่วมทีม เปแอสเช

น่าเสียดายที่ โมนาโก ไม่สามารถรั้งแข้งตัวหลักหลายคนให้อยู่กับทีมต่อได้ จึงทำให้ผลงานในฤดูกาลไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์คว้าแชมป์ครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลหลายคนแน่นอน

9. บาร์ซ่า พลิกนรก

หลังสิ้นเสียงนกหวีดที่สนาม ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ที่ เปแอสเช ถล่ม บาร์เซโลน่า 4-0 หลายคนคิดว่า ขุนพลปารีเซียง จะก้าวเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ของศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกได้แน่นอน

อย่างไรก็ตามในเลกสอง ที่สนามคัมป์ นู บาร์ซ่าเริ่มเปิดประตูความหวัง เมื่อนำถึง 3-0 เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมงแรก แต่เมื่อ เอดิสัน คาวานี่ มายิงตีไข่แตก นาที 62 แทบจะตอกฝาโรงให้ บาร์ซ่า หมดหวังเพราะพวกเขาต้องยิงอีกถึงสามลูก กับเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

และยิ่งเมื่อเกมถึงช่วง 5 นาทีสุดท้าย บาร์ซ่า ก็ยังยิงประตูเพิ่มไม่ได้ แต่แล้วนาที 88 เนย์มาร์ มาทำประตูเพิ่มเป็น 4-1 ก่อนจะมายิงลูกจุดโทษทิ้งห่าง 5-1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีแรก และเมื่อก่อนสิ้นเสียงนกหวีดจากผู้ตัดสิน เซร์จี้ โรแบร์โต้ ตัวสำรอง มายิงประตูที่ทำให้ บาร์ซ่า พลิกนรกแซงกลับมาเข้ารอบอย่างหน้าตาเฉยท่ามกลางความเจ็บปวดของผู้เล่นเปแอสเช

10. ซีเรีย เกือบได้ไปบอลโลก

ประเทศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสงคราม กลับกลายเป็นม้ามืดของเอเชียที่เกือบจะคว้าตั๋วฟุตบอลโลก 2018

ซีเรีย ต้องลงเล่นในฐานะเกมเหย้าที่ไม่สามารถแข่งต่อหน้าแฟนบอลในประเทศตัวเองได้เพราะเนื่องมาจากความไม่สงบภายในประเทศ 
 
ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย ซีเรียถูกจัดอยู่ในโถเต็งบ๊วยร่วมกับ"ไทย" และถูกคาดว่าเป็นทีมที่อ่อนที่สุดในสายเอ ที่มีทั้ง อิหร่าน,เกาหลีใต้,จีน,อุซเบกิสถาน และกาตาร์ ว่าที่เจ้าภาพในปี 2022

แต่สุดท้ายพวกเขาจบอันดับที่สามของกลุ่มพร้อมคว้าสิทธิ์ไปเพลย์-ออฟ กับทีมอันดับสามของกลุ่มบี นั่นคือ ออสเตรเลีย เพื่อหาทีมไปเตะกับตัวแทนจากโซนคอนคาเคฟ อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ ซีเรีย ต้องจบที่รอบนี้โดยต้องแพ้ให้กับ ออสเตรเลีย ไปอย่างน่าเสียดาย