เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ซี นัดที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มีคิวเปิดรัง ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ รับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล วันพุธที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ถือเป็นนัดที่สำคัญมากๆ ของทั้งสองทีม เนื่องจากพวกเขาต่างก็ยังมีโอกาสผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้งคู่ หลังจากที่ "หงส์แดง" อยู่ในอันดับ 2 ด้วยผลงาน 6 แต้ม จากการลงเล่น 4 นัด ขณะที่ "เปแอสเช" เก็บไปแล้ว 5 คะแนน
    อย่างไรก็ตาม ฝั่งของ ปารีสฯ เพิ่งเจอข่าวร้ายมาหมาดๆ หลังจากที่ เนย์มาร์ และ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ 2 กองหน้าตัวเก่งของทีม โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจากตอนไปรับใช้ทีมชาติทั้งคู่ โดยรายของ เนย์มาร์ เป็นตรงกล้ามเนื้อโคนขา ส่วนของ เอ็มบั๊ปเป้ เกิดตรงไหล่ขวา ซึ่งถึงแม้จะมีการเปิดเผยจากบางฝ่ายว่าอาการเดี้ยงของพวกเขาไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่มีใครรับประกันว่าพวกเขาจะพร้อมช่วยทีมในเกมวันพุธนี้

    สำหรับ ลิเวอร์พูล แน่นอนว่านี่ถือเป็นข่าวดี เพราะถึงแม้หลายคนจะพูดว่า "ถ้าจะเป็นยอดทีมก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร" แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่คู่แข่งขาดกำลังสำคัญไปสักคนหนึ่งมันย่อมส่งผลดีว่าอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้มันก็มีโอกาสทั้ง เนย์มาร์ และ เอ็มบั๊ปเป้ จะอดลงเล่นทั้งคู่ หรือหายทันแค่คนเดียวด้วย คำถามคือถ้าเกิดกรณีที่มีคนหายทันแค่คนเดียวแล้วล่ะก็ การขาดใครไปมันจะส่งผลดีกับทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ มากกว่ากัน ?

    เนย์มาร์

   13 ประตูจากการลงเล่น 16 นัดในทุกรายการ คือผลงานในฤดูกาลนี้ของ เนย์มาร์ กับ ปารีสฯ โดยแบ่งเป็น 10 ประตูในลีก กับอีก 3 ลูกใน แชมเปี้ยนส์ ลีก นอกจากนี้ เขายังทำแอสซิสต์ไปแล้ว 7 หนด้วย

    นอกจากนี้ หลายคนอาจจะมองว่า เนย์มาร์ เป็นนักเตะที่เห็นแก่ตัว แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่เน้นเล่นเพื่อทีมเหมือนกัน เพราะในเกมลีก เขาทำการผ่านบอลสำคัญๆ ได้ถึง 2.9 ครั้งต่อเกม ขณะที่ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เขาทำอย่างนั้นได้ 4.3 หนต่อนัด ซึ่งในลีกเขาผ่านบอลสำเร็จถึง 80.8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในลีกอยู่ที่ 84 เปอร์เซ็นต์

    ยิ่งไปกว่านั้น เนย์มาร์ ยังมีความสามารถในการเลี้ยงบอลที่ดีด้วย จนทำให้เขามีค่าเฉลี่ยในการเลี้ยงบอลหนีคู่แข่งได้สำเร็จต่อเกมอยู่ที่ 4.4 ครั้ง ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ที่ 7.3 หนต่อเกม แถมอดีตแข้ง บาร์เซโลน่า ยังเรียกฟาวล์ได้เยอะสุดๆ อีกต่างหาก โดยในลีกเขาเรียกฟาวล์ได้เฉลี่ยละ 3.3 ครั้งต่อเกม ขณะที่ในเกมชิงถ้วย "บิ๊กเอียร์" อยู่ที่ 5 หน

    ข้อด้อยของ เนย์มาร์ ในตอนนี้คือการที่เขามักจะจับบอลได้ไม่ดีจนทำให้บอลหลุดจากเท้าง่ายๆ โดยค่าเฉลี่ยด้านนี้ทั้งในลีก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ที่ 4.3 หนต่อนัดเท่ากัน นอกจากนี้ เนย์มาร์ ยังเป็นพวกโดนอารมณ์เข้าครอบงำได้ง่ายอีกต่างหาก ซึ่งถ้าเขาโดนประกบติดจนเล่นไม่ออกแล้วนั้น มันก็อาจจะทำให้เขาหัวเสีย และมีโอกาสสูงที่เจ้าตัวจะเล่นไม่ออกเหมือนกัน

    เอ็มบั๊ปเป้

    ฤดูกาลนี้ เอ็มบั๊ปเป้ ก็ยังโชว์ฟอร์มได้สมราคาที่หลายคนยกย่องว่ามีโอกาสที่จะเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลกในอนาคต โดยเขาทำประตูในทุกรายการไป 13 ลูก จากการลงเล่น 13 เกม ซึ่งถ้าดูเฉพาะตัวเลขตรงนี้ก็ต้องบอกว่าดีกว่า เนย์มาร์ ซะด้วยซ้ำ ส่วนยอดรวมการแอสซิสต์ของเขาอยู่ที่ 7 ครั้ง เท่ากับหัวหอกเพื่อนร่วมทีมเป๊ะ

    จุดเด่นจุดหนึ่งของ เอ็มบั๊ปเป้ คือความเร็วที่ถ้าวิ่งเต็มฝีเท้าแล้วเขาอาจจะเร็วกว่า เนย์มาร์ ซะด้วยซ้ำ เขาสามารถวิ่งไปถึงบอลที่เพื่อนแทงทะลุมาให้ก่อนที่คู่แข่งจะเคลียร์บอลได้ จนทำให้สามารถกระชากเข้าไปทำประตูได้ หรือขึ้นเกมบุกต่อได้

    นอกจากนี้ ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสยังจับบอลได้นิ่งพอตัว เพราะในลีกเขาจับบอลได้แย่เพียง 1.9 หนต่อเกมเท่านั้น ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก สูงขึ้นมานิดหน่อย จากการอยู่ที่ 2.8 ครั้งต่อนัด แต่ยังไงซะตรงนี้ตัวเลขของเขาก็ดีกว่า เนย์มาร์ เยอะ ยิ่งไปกว่านั้น เอ็มบั๊ปเป้ ยังคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีกว่า เนย์มาร์ ด้วย

    ถ้าถามว่าอันไหนที่เขาด้อยกว่า เนย์มาร์ ชนิดที่ตัวเลขเทียบกันไม่ติด คือเรื่องการผ่านบอล เพราะ เอ็มบั๊ปเป้ มีจังหวะผ่านบอลสำคัญๆ ต่อเกม 1.7 ครั้ง นอกจากนี้ ถึงแม้เปอร์เซ็นต์การเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งของเขาจะดูไม่แย่เท่าไหร่ หลังจากอยู่ที่ 2.4 หนต่อเกมในลีก กับ 2.8 ครั้งต่อนัดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่มันก็ด้อยกว่า เนย์มาร์ อย่างชัดเจน

    บทสรุป : เนย์มาร์ อาจจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาแฟนบอลกับการที่ชอบพุ่งล้มเป็นชีวิตจิตใจ และบางครั้งปล่อยให้อารมณ์ครอบงำได้ง่าย แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักเตะชั้นยอดคนหนึ่งของยุคนี้ และตอนนี้เจ้าตัวก็มีความอันตรายมากกว่า เอ็มบั๊ปเป้ อยู่นิดหน่อย

    เนย์มาร์ กับ เอ็มบั๊ปเป้ ต่างก็มีความเร็วที่ดีทั้งคู่ โดยที่รายหลังจะเหนือกว่านิดหน่อย ส่วนความสามารถในด้านการทำประตูถือว่าดีพอๆ กัน แต่จุดสำคัญด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่นั้น เนย์มาร์ ทำได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการผ่านบอล และการเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งสำเร็จ ดังนั้นถ้า ปารีสฯ ขาด เนย์มาร์ ไปแล้วนั้น มันก็น่าจะเป็นผลดีกับ ลิเวอร์พูล มากกว่าการไร้เงาของ เอ็มบั๊ปเป้