ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » 10 ประเด็นของ เลสเตอร์ ยุค ร็อดเจอร์ส หลังครบฮันนีมูน 100 นัดแรก

10 ประเด็นของ เลสเตอร์ ยุค ร็อดเจอร์ส หลังครบฮันนีมูน 100 นัดแรก

Posted 31/03/2021 by siamsport

เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เพราะตอนนี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทำหน้าที่ในฐานะผู้จัดการทีมของ เลสเตอร์ ซิตี้ ครบ 100 นัดจากการลงเล่นในทุกรายการแล้ว โดยเกมที่ 100 ของเขาก็คือเกม เอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศที่พาทีมทุบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมานั่นเอง
   
ทั้งนี้ ตอนที่ ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจลา เซลติก เพื่อมาคุม เลสเตอร์ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 นั้น มันมีหลายคนที่แสดงความกังขาว่ามันเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะตอนนั้นหลายคนมองว่าเขาน่าจะอยู่คุม เซลติก ไปจนจบฤดูกาล 2018-19 ก่อน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็ตั้งประเด็นว่าเขาคือคนที่จะพา เลสเตอร์ กลับมาจากสภาพอันน่าผิดหวังในยุคของ โคล้ด ปูแอล ได้รึเปล่า เพราะภาพที่ ร็อดเจอร์ส จบกับ ลิเวอร์พูล ไม่สวยเท่าไหร่ยังตราตรึงอยู่ในใจของหลายคน

อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้มันก็คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า ร็อดเจอร์ส สอบผ่านฉลุยกับการคุม เลสเตอร์ 100 นัดแรก ซึ่งในช่วงเวลานั้นมันมีหลายประเด็นเกี่ยวกับ เลสเตอร์ ของ ร็อดเจอร์ส ที่น่าสนใจมากๆ จนน่าพูดถึงกันด้วย

- การขายที่ยอดเยี่ยม
การบริหารทีมของ คิง เพาเวอร์ กลุ่มทุนจากไทยที่เป็นเจ้าของทีม เลสเตอร์ ถือว่าได้รับคำชมจากหลายฝ่ายตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยมันมีส่วนทำให้ เลสเตอร์ กลายมาเป็นทีมหัวแถวของตารางคะแนนแบบต่อเนื่องได้ แถมถึงขั้นเคยได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2015-16 ด้วย

หนึ่งในสิ่งที่ เลสเตอร์ ทำได้ดีภายใต้การบริหารทีมจากกลุ่มทุนจากไทยคือการขายนักเตะได้ด้วยเงินก้อนโต พวกเขาทำได้ดีตั้งแต่ก่อนที่ ร็อดเจอร์ส จะเข้ามาคุมทีมแล้ว อย่างเช่นการที่ปล่อย ริยาด มาห์เรซ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2018 เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ ร็อดเจอร์ส เป็นกุนซือของทีมนั้น เลสเตอร์ ก็ยังดำเนินการด้านการขายนักเตะส่วนใหญ่ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาย แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติโลกสำหรับกองหลังที่จำนวน 80 ล้านปอนด์ และการปล่อย เบน ชิลเวลล์ ให้กับ เชลซี ด้วยค่าตัวที่เชื่อกันว่าอยู่ที่ 45 ล้านปอนด์ โดยถึงแม้จะเสียแข้งเหล่านั้นแต่ว่า เลสเตอร์ ของ ร็อดเจอร์ส ก็ไม่ได้มีสภาพเลวร้ายลงอย่างหนักเลย แถมยังสามารถเอาเงินที่ได้ไปใช้ทำอย่างอื่นได้อีก

- การซื้อระดับ 5 ดาว
บางครั้งนักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกก็ไม่ได้เป็นการเสริมทัพที่ดี สิ่งที่ตัดสินว่าเป็นการซื้อที่ยอดเยี่ยมจริงๆ คือเรื่องที่ว่านักเตะเหล่านั้นสามารถช่วยทีมได้เป็นอย่างดีหลังจากที่เข้ามาอยู่กับทีมแล้วต่างหาก ต่อให้จะเป็นการจ่ายเงินไปเพียงนิดเดียว แต่ถ้าคนเหล่านั้นพาทีมก้าวหน้าได้มันก็ถือว่าพวกเขาเป็นการเสริมทัพที่คุ้มค่าระดับ 5 ดาว

ทั้งนี้ เลสเตอร์ ยุคของ ร็อดเจอร์ส ก็มีการเสริมทัพที่เข้าข่ายแบบนั้นเช่นกัน อย่างเช่นการได้ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า มาร่วมทัพด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ก่อนที่ตอนนี้แข้งวัย 20 ปีจะเป็นหนึ่งในแนวรับที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาล 2020-21, ยูริ ตีเลมันส์ ที่ย้ายมาอยู่กับทีมแบบถาวรด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2019 หลังจากตอนแรกมาเล่นแบบยืมตัวในยุคของ ปูแอล แต่ทำผลงานได้น่าประทับใจในแท็กติกของ ร็อดเจอร์ส หรือ เจมส์ จัสติน ที่โชว์ฟอร์มได้สุดยอดเกินราคา 6 ล้านปอนด์ ก่อนที่จะมาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง

- ช่วงขาลงในตอนกลับมาเตะใหม่
ฤดูกาลก่อน เลสเตอร์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องจนคนคิดว่าพวกเขาน่าจะจบฤดูกาลด้วยการติด 4 อันดับแรกของตารางคะแนน พร้อมกับคว้าสิทธิ์ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ใช่ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยพอตัวจนกระทั่งลีกถูกสั่งพักการแข่งขันจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

หลังจากที่ พรีเมียร์ลีก กลับมาเตะกันในช่วงเดือนมิถุนายนในชื่อ "โปรเจ็กต์ รีสตาร์ท" แล้วนั้น โมเมนตัมของ เลสเตอร์ ก็หายไปเกือบหมด พวกเขาชนะในลีกได้เพียง 2 เกมจาก 9 นัดในช่วงที่ลีกกลับมาเตะกัน และแพ้ไปถึง 4 หน ทำให้สุดท้ายแล้ว เลสเตอร์ จบฤดูกาลด้วยการเป็นเพียงที่ 5 ของตารางคะแนน ทั้งที่ก่อนถึง 2 เกมสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขายังอยู่ในท็อปโฟร์อยู่เลย

ถึงกระนั้น เรื่องดังกล่าวก็ถือเป็นประสบการณ์ชั้นยอดที่ทำให้ ร็อดเจอร์ส กับทีมของเขามีความมุ่งมั่นมากขึ้น เพื่อทำให้มั่นใจว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิม

- การวางแผนล่วงหน้าเมื่อหมดยุค วาร์ดี้
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า เจมี่ วาร์ดี้ คือหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดของ พรีเมียร์ลีก ในช่วงนี้ เพราะเขายังสามารถทำประตูได้อย่างต่อเนื่องทั้งที่มีอายุ 34 ปีเข้าไปแล้ว และยังไม่มีท่าว่าจะหยุดอยู่แค่นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม หลายคนก็มักจะตั้งประเด็นกันว่า เลสเตอร์ จะมีสภาพแบบไหนเมื่อไม่มี วาร์ดี้ คอยช่วยทีมอีกต่อไป ซึ่งบางคนคิดว่า เลสเตอร์ จะไม่โหดเหมือนเก่าด้วย

ถึงกระนั้น ถ้าวัดจากฟอร์มของ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ในช่วงที่ผ่านมาแล้วนั้นมันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ร็อดเจอร์ส วางแผนให้อดีตลูกหม้อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทายาทล่วงหน้าของ วาร์ดี้ โดยเขาทำได้ถึง 7 ประตูจาก 4 นัดหลังสุดที่เจ้าตัวได้ลงเล่น และหนึ่งในนั้นเป็นแฮตทริกที่เกิดขึ้นในเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วย โดยหลังจากนี้แข้งวัย 24 ปี ยังมีเวลาที่จะเรียนรู้จาก วาร์ดี้ ได้อีกพักหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วเขาก็จะเป็นตัวแทนของ วาร์ดี้ ได้เลย

- การเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ไม่ว่า ร็อดเจอร์ส จะไปคุมทีมไหนนั้น เขาก็มักจะทำให้ทีมของเขาเล่นเกมรุกได้น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ และ เลสเตอร์ ของเขาก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน โดยจนถึงตอนนี้พวกเขายิงในลีกไปแล้ว 53 ลูก ซึ่งมีเพียง 2 ทีมจาก แมนเชสเตอร์ ที่ยิงได้มากกว่าพวกเขา (แมนฯ ซิตี้ ทำไป 64 ลูก ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงไป 56 ประตู)

นอกจากนี้ เลสเตอร์ ของ ร็อดเจอร์ส ยังเป็นทีมเดียวที่สามารถทำประตูใส่ทีมของกุนซือระดับ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ได้ถึงหลัก 5 ลูกด้วย โดยเกิดขึ้นในเกมที่ เลสเตอร์ ชนะ แมนฯ ซิตี้ 5-2 เมื่อช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมานั่นเอง

- รีดศักยภาพที่ดีที่สุดจากลูกทีมได้
นอกจากจะเอานักเตะฝีเท้าดีจากทีมอื่นเข้ามาแล้วนั้น ร็อดเจอร์ส ยังใช้งานทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเช่นกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงจะหนีไม่พ้น ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ที่ถึงขั้นเคยติดทีมชาติอังกฤษไปแล้ว หลังทำไป 13 ประตูกับ 4 แอสซิสต์

ขณะที่ เจมส์ แมดดิสัน ก็พัฒนาฝีเท้าได้เป็นอย่างดีในยุคของ ร็อดเจอ์ส จนทำให้เขาเป็นที่หวาดกลัวของแนวรับคู่แข่ง ส่วนนักเตะอย่าง วิลฟรีด เอ็นดิดี้ กับ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ก็ยังทำผลงานได้ในระดับที่น่าพอใจเช้นกัน

- ม้านอกสายตา
แม้ว่าฤดูกาลก่อน เลสเตอร์ จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 5 ของตารางคะแนน แต่ซีซั่นนี้พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมที่ได้รับความสนใจจากสื่อในภาพรวมมากเท่าไหร่นัก ถึงกระนั้น มันก็กลายเป็นผลดีในระดับหนึ่ง เพราะมันทำให้พวกเขาเล่นกันแบบไร้ความกดดันได้

ทั้งนี้ ร็อดเจอร์ส เองก็ถือว่ามีส่วนที่ทำให้ทีมของตัวเองไม่ตกเป็นเป้าสายตามากเท่าไหร่ เพราะเขามักจะให่สัมภาษณ์ในเชิงที่บอกว่าทีมของเขาไม่ได้มีโอกาสดีที่จะได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองเลย แม้ว่าช่วงหนึ่งพวกเขาจะดูมีโอกาสเป็นม้ามืดสำหรับการล่าแชมป์ก็ตาม

- รับมือกับอาการบาดเจ็บได้ดี
การที่นักเตะภายในทีมจะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานมันถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกทีมทั่วโลก สิ่งที่สำคัญก็คือแต่ละทีมจะรับมือได้ดีแค่ไหนเมื่อแข้งภายในทีมถูกโรคเดี้ยงเล่นงาน ซึ่งบางทีมก็รับมือได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเช่น ลิเวอร์พูล ที่ซีซั่นนี้ฟอร์มตกไปเลยหลังจากแข้งตัวหลักหลายคนมีอาการบาดเจ็บ ทั้งที่พวกเขามียศเป็นแชมป์เก่าของ พรีเมียร์ลีก

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าซีซั่นนี้ แมดดิสัน, บาร์นส์, จัสติน และ แด็นนิส ปราต จะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน แต่ ร็อดเจอร์ส ก็ยังพาทีมทำผลงานที่สุดยอดได้ผ่านทางการใช้แบ็กอัพอย่าง ลุค โธมัส, ทิโมธี กาสตานเย่ และ มาร์ค อัลไบรท์ตัน จนกลายเป็นการลบคำสบประมาทของบางคนที่มองว่าแข้งเหล่านี้ไม่น่าจะช่วยประคองทีมได้

- การได้กลับไปเล่นถ้วยยุโรป
หลังจากไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2016-17 ได้แล้วนั้น เลสเตอร์ ก็ไม่ได้สิทธิ์เล่นเกมถ้วยยุโรปอีกถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน จนทำให้หลายคนมองว่าพวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม การที่ ร็อดเจอร์ส พาทีมได้อันดับ 5 ของลีกเมื่อฤดูกาลก่อนมันก็ทำให้ซีซั่นนี้ เลสเตอร์ ได้กลับสู่เวทียุโรปอีกครั้ง เพียงแต่เป็นในถ้วยเล็กอย่าง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และถึงแม้ เลสเตอร์ จะตกรอบ 32 ทีมสุดท้ายไปแล้ว แต่ความผิดหวังก็น่าจะหายไปอย่างรวดเร็วถ้าหากซีซั่นนี้พวกเขาติดท็อปโฟร์จนได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า

- ลุ้นความสำเร็จ
ไม่จำเป็นต้องมองไกลถึงระดับการได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก แบบเมื่อปี 2016 อีกครั้งหรอก ก่อนหน้านี้หลายคนมองด้วยซ้ำว่า เลสเตอร์ คงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์รายการใดรายการหนึ่งอีกสักครั้ง

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลที่แล้ว ร็อดเจอร์ส ก็จุดประกายความหวังให้กับสาวก เลสเตอร์ ได้ หลังพาทีมไปถึงรอบรองชนะเลิศของรายการ คาราบาว คัพ ส่วนซีซั่นนี้ก็พาทีมมาไกลถึงรอบตัดเชือกของ เอฟเอ คัพ และหากไม่มีอะไรผิดพลาดพวกเขาก็น่าจะเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ด้วย เพราะคู่แข่งที่ขวางทางอยู่คือ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ถ้าว่ากันตามตรงแล้วฟอร์มโดยรวมแย่กว่าพวกเขาเยอะ

ต่อให้ในนัดชิงดำจะต้องเจอกับผู้ชนะระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ เชลซี แต่โลกฟุตบอลมันไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว และ ร็อดเจอร์ส ก็อาจจะพาทีมได้แชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ได้

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »