เดอะ ไทมส์สื่อเมืองผู้ดีตีแผ่ประเด็นร้อนที่ตัดมาจากหนังสือแฉด้านมืดของ โชเซ่ มูรินโญ่ "The Special One: the dark side of Jose Mourinho" ระบุกุนซือชาวโปรตุกีสเคยด่ากราดลูกทีม"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด เป็นพวกทรยศคาบข่าววงในไปให้สื่อและทีมคู่แข่งแถมยังพยายามปลูกฝั่งให้แข้งสเปนผิดใจกับขุนพลสเปนในทัพบาร์เซโลน่าอีกต่างหาก

เดอะ ไทมส์ สื่อชื่อดังของประเทศอังกฤษตัดตอนมาจากหนังสือที่ชื่อว่า "The Special One: the dark side of Jose Mourinho" แฉด้านมืดของ โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยยังกุมบังเหียน เรอัล มาดริด นอกจากผลการแข่งขันที่ต้องเป็นเลิศแล้ว อีกด้านนึงของเทรนเนอร์โปรตุกีส เขาหมกมุ่นกับการค้นหาว่าใครคือ "ตัวตุ่น" ที่มุดอยู่ใต้ดิน ใครที่แอบต่อต้านเขาอยู่เงียบๆ ใครกันที่เป็นสปายคาบข่าววงในไปแฉต่อสื่อและทีมคู่แข่ง

นอกจากนี้ มูรินโญ่ ยังพยายามปลูกถ่ายความคิดให้กับนักเตะเรอัล มาดริด ฝังหัวว่าพวกบาร์ซ่าไม่เคยคิดว่านักเตะทีมชาติสเปนของ มาดริดเป็นเพื่อน...และระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน...
 
เมื่อครั้งนั่งบัลลังก์กุนซือ เรอัล มาดริด นั้นสิ่งที่รวบกวนจิตใจ มูรินโญ่ มากที่สุดก็คือ "ใครคือตัวตุ่น?"
 
ครั้งนึงฝ่ายตรวจสอบข้อมูลที่จัดตั้งโดย มูรินโญ่ เองได้พาเขาไปที่ เชอราตัน มิราสเซียร่า โรงแรมหรู 5 ดาวกลางเมืองที่นักเตะมาดริดใช้ในการเข้าพักก่อนเตรียมลงแข่งเกมในบ้านเพื่อค้นหาไมโครโฟนที่อาจถูกซุกซ่อนอยู่ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นที่มาของความรั่วไหลเรื่องข่าวสารภายในทีม
 
นอกจากนี้ "มู" ยังมีทีมพิเศษที่คอยทำหน้าที่วิเคราะห์สื่อ..แต่ละวันในชั่วโมงแรกของการทำงานจะมีสมุดบันทึกวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ของเขาที่สนามซ้อมบัลเดเบดาส
 
จากนั้นเขาจะร่วมหาบทสรุปกับบุคคลที่เขาไว้ใจซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารมาให้ มูรินโญ่ ด้วยอีกทางกับประเด็นนี้กุนซือโปรตุกีสยังได้ขอให้บุคคลผู้ทรงอิทธิพลระดับมาเฟียของสโมสรบางคนทำการตรวจสอบบันทึกการโทรศัพท์ของนักเตะเรอัล มาดริด รวมถึงลูกจ้างสโมสรทุกคน
 
ทุกอย่างมาถึงจุดระเบิดอย่างรุนแรงหลังเกม"เอล กลาซีโก้" กับ บาร์เซโลน่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2011 ซึ่งจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 (0-1 เมสซี่ จุดโทษ น.51,1-1 โรนัลโด้ จุดโทษ น.81 ) ที่ เบร์นาเบว เป็นเหตุให้โอกาสลุ้นแชมป์ของ มาดริด เลือนลาง

ภายในห้องแต่งตัว "มู" ด่ากราดนักเตะอย่างรุนแรง "พวกแกมันพวกทรยศ ! ชั้นสั่งพวกแกแล้วไงว่าห้ามพูดเด็ดขาดเกี่ยวกับการจัดทีม แต่พวกแกก็หักหลังชั้น พวกแกทำลายชั้นด้วยการไม่ยืนเคียงข้างชั้น พวกแกมันไอ้ลูก...(ของดีเมืองสระบุรี)"
 
"ในห้องนี้ชั้นคงมีแค่ กราเนโร่ คนเดียวที่เป็นเพื่อน แต่ตอนนี้ชั้นชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะเชื่อใจเขาอีกได้หรือเปล่า พวกแกมันเป็นทีมที่ เต็มไปด้วยการคิดคดมากที่สุดเท่าที่ชั้นเคยคุมมาตลอดชีวิต พวกเเกมันไม่มีอะไรเลย ก็แค่ไอ้ลูก..(ของดีเมืองสระบุรี)"
 
หลังจากด่ากราดเสร็จ "มู" ก็รายงานตรงไปยัง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ว่าเกิดอะไรขึ้นและพยายามที่จะหาตัว "สปาย" ต่อไปอย่างไม่ลดละ มูรินโญ่ ไม่เคยยอมแพ้ในการค้นหาจนกระทั่งเขาย้ายไปคุมทีมเชลซี
 
นัดชิงชนะเลิศโกปา เดล เรย์ ที่ บาเลนเซีย (2011) มูรินโญ่ พยายามอย่างยิ่งที่จะจุดไฟแห่งความเกลียดชังขึ้น เขาตั้งใจให้มันเป็นเกมที่ร้อนแรงเพื่อกระตุ้นลูกทีมของตัวเองด้วยการพูดกับนักเตะว่า "พวกแกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ บาร์ซ่า แม้แต่นิด"
 
นอกจากนี้กุนซือโปรตุกีสยังพยายามกรอกข้อมูลใส่หัวนักเตะมาดริดด้วยการยกเอาชีวิต 5 ปีของเขาในถิ่นคัมป์ นู มาพูดถึงว่าเขาอยู่ที่ บาร์เซโลน่าหลายปีและตระหนักได้เป็นอย่างดีถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ของนั่นรวมถึงการศึกษาที่เด็กกาตาลันได้รับการปลูกฝัง
 
มูรินโญ่ อธิบายให้นักเตะมาดริดเข้าใจว่าคนอย่าง การ์เลส ปูโญล,บุสเก็ตส์,ชาบี และ ปีเก้ ถูกสั่งสอนมาตลอดตั้งแต่เด็กๆว่าให้อยู่ห่างจากพวกสเปนอย่าง กาซียาส,รามอส และ อาร์เบลัว อีกทั้งยังยืนยันว่าพวกนักเตะของเขาน่ะผิดถนัดถ้าคิดว่าจะสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับพวกนักเตะบาร์ซ่าในช่วงที่เล่นร่วมกันในทีมชาติ
 
ท้ายที่สุด มูรินโญ่ บอกให้นักเตะทุกคนในทีมยอมรับบทบาทความเป็นตัวชั่วร้ายในตัวเขา และบอกว่าถ้าใครออกจากแผนก็เท่ากับ คนๆนั้นหันหลังให้กับเขาและเพื่อนร่วมทีมทุกคน
 
อื้อหือออ......ถ้าเรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่ The Times กล่าวอ้างเนี่ยด้านมืดของ มูรินโญ่ ก็เข้าขั้นปีศาจร้ายเลยนะเนี่ย