ย้อนเวลากลับไปไม่ถึงเก้าเดือน ลิเวอร์พูล ไปเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยฟอร์มที่เปล่งปลั่งอย่างน่าสยดสยอง

        ตอนนั้น "ปีศาจแดง" ของ เดวิด มอยส์ กำลังห่อเหี่ยว ผิดกับ "หงส์แดง" ที่เข้าฝักสุดๆ เกมรุกลื่นไหล ยิงได้เป็นกอบเป็นกำจนหลายทีมอิจฉา และ ลิเวอร์พูล ก็ไม่ทำให้สาวกผิดหวัง เมื่อเก็บชัยชนะนัดที่สี่ติดต่อจากทั้งหมดที่เข้าเบรกยาว 10 เกมในช่วงนั้น จนประกาศศักดาท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างองอาจ สกอร์ 3-0 ที่พวกเขายัดเยียดให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำแฟนผีแทบทรุดเป็นแถว

แต่ ณ บัดเดี๋ยวนี้ สถานการณ์แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ "หงส์แดง" ที่ไม่มี หลุยส์ ซัวเรซ รวมถึง แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่เดี้ยง กลายเป็นทีมที่ไร้ความมั่นใจ ขณะที่ดาวรุ่งที่เคยพุ่งกระฉูดอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็ดูจะหยุดพัฒนาการไว้บนวัย 20

พวกเขากำลังตามหลังคู่แค้นอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง บนตาราง ลิเวอร์พูล มีคะแนนน้อยกว่า "ปีศาจแดง" ถึงเจ็ดแต้ม ขณะที่เกมรุกไม่เฉียบคมเหมือนปีก่อน เช่นเดียวกับเกมรีบที่เปราะบางเหลือเกิน

ที่ชัดเจนสุดคือ "หงส์แดง" ไร้พลานุภาพในเกมรุก ทั้ง มาริโอ บาโลเตลลี่, ริคกี้ แลมเบิร์ต และ อดัม ลัลลาน่า ไม่สามารถคุกคามคู่แข่งได้เหมือนที่ ซัวเรซ, สเตอร์ริดจ์ และ สเตอร์ลิ่ง ฝากผลงานไว้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

หลายต่อหลายครั้ง เกมรุกมาหยุดตรงพื้นที่สุดท้ายหน้าปากประตู เปอร์เซนต์การผ่านบอลที่เคยแม่นยำถึง 111 ครั้งต่อหนึ่งเกมเมื่อซีซั่นก่อน หล่นฮวบเหลือแค่ 99, ขณะที่ตัวเลขการครองบอลลุ้นประตูตรงพื้นที่อันตราย ดร็อปลงเหลือ 2.9 ต่อเกมจากเดิม 3.9, ลูกแทงทะลุช่องที่เคยมีให้เห็นเรื่อยๆ 5.0 ครั้งต่อเกมในพื้นที่สุดท้าย ตกลงเหลือแค่เฉลี่ย 2.2 ครั้ง

สถิตินี้คือสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่า เกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีปัญหา และมันสะท้อนเป็นรูปธรรมเป็นประตูโดยเฉลี่ยที่ปีก่อนมีสูงถึง 2.7 ลูกต่อหนึ่งเกม ตกลงเหลือแค่ 1.3

 ร็อดเจอร์ส พยายามแก้ไขแล้ว กระทั่งจับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปเล่นเป็นหน้าต่ำ ตำแหน่งที่เคยทำให้กัปตันทีม "หงส์แดง" กระหึ่มที่ แอนฟิลด์ แต่เขาก็รู้ดีว่า "สตีวี่ จี" ไม่ได้มีสภาพร่างกายที่ฟิตเต็มร้อยทุกๆ นัด กอปรกับความผิดพลาดในแนวรับ ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ตกอยู่ในสภาวะชวนแฟนอึดอัดเช่นนี้

      ลิเวอร์พูล กำลังจะลงสนามในเกมสำคัญวันอาทิตย์นี้ พวกเขาอาจไร้พ่ายมาห้านัดหลังสุด หลังจากที่แพ้มาสี่เกมติดต่อกันก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" ยังดูจะยังขาดความสม่ำเสมอ ถึงชนะ สโต๊ค 1-0 ได้ในรัง ทว่านัดถัดมาก็ทำได้แค่เสมอ ซันเดอร์แลนด์ แบบไร้สกอร์ เท่ากับว่า สามนัดหลังใน แอนฟิลด์ เด็กๆ ของ ร็อดเจอร์ส ทำประตูจากลูกโอเพ่นเพลย์ได้แค่เม็ดเดียวจาก เกล็น จอห์นสัน นักเตะในตำแหน่งกองหลัง

 กระนั้น นี่คือเกมใหญ่ หาก "หงส์แดง" หวังจะฉุดตัวเองออกมาจากวังวนความเลวร้าย จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะต้องโชว์ฮึดเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ได้ในวันอาทิตย์นี้

ถ้าทำได้ มันอาจเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลนี้ของพวกเขาเลยทีเดียว  แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ มันก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนเช่นกัน... จุดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม!