เกมพรีเมียร์ลีกนัดสำคัญที่แอนฟิลด์ จบลงไปเมื่อคืนนี้ด้วยการเสมอกันไป 1-1 ของลิเวอร์พูล และเชลซี ในเกมที่มีครบรส และโอกาสชนะด้วยกันทั้งสองทีม อย่างไรก็ตามหลังจบ 90 นาที มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

1 หงส์แดงอำลา 1 เดือนแห่งความทรมาน

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลลงแข่งขันทั้งหมด 9 แมตช์ในสามรายการ  พรีเมียร์ลีก 4 นัด  , เอฟเอคัพ 3 นัด และ ลีกคัพอีก 2 นัด ซึ่งผลลัพธ์ปรากฎว่าทีมหงส์แดง ชนะ 1 เสมอ 4 แพ้ 4 ใน 9 แมตช์นี้

นัดเดียวที่ชนะ คือเกมรีเพลย์ในเอฟเอคัพ รอบสาม เอาชนะพลีมัธ อาร์ไกล์ ทีมรองบ่อน 1-0 ที่เหลือไม่มีชนะเลยแม้แต่เกมเดียว

เดือนมกราคม  ในหลายๆซีซั่นที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลสะดุดมาตลอด ในฤดูกาล 2008-09 พวกเขานำเป็นจ่าฝูงในเดือนธันวาคม ก่อนจะมาสะดุดในเดือนมกราคม จนจบที่ 2 ในปีนั้น ซึ่งคราวนี้ก็เหมือนกันทีมหงส์แดง ลุ้นแชมป์อยู่ดีๆ  แต่พริบตาเดียวพวกเขากลายมาลุ้นแค่อันดับ 4 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เข้าสู่เดือนใหม่ ดูเหมือนสิ่งต่างๆจะดีขึ้นเป็นลำดับ นักเตะตัวหลักหายเจ็บกลับมาเล่นได้ทุกคน ขณะที่ซาดิโอ มาเน่ ที่ไปเล่นกับทีมชาติ ก็คัมแบ็กทีมได้แล้ว

ตอนนี้ หงส์แดงมีองค์ประกอบครบเท่ากับช่วงออกสตาร์ตซีซั่นอีกครั้ง และนั่นจะทำให้พวกเขากลับมาได้อย่างมั่นใจในเดือนกุมภาพันธ์นี้

2 กองหน้าคือจุดอ่อนสำคัญที่สุดของหงส์แดงตอนนี้

ในช่วงต้นฤดูกาล ลิเวอร์พูลมีปัญหาเรื่องนายทวาร ที่ส่งใครลงเล่นก็ไม่เวิร์ก แต่ตอนนี้ปัญหาใหม่ของพวกเขาคือกองหน้าตัวจบสกอร์

แม้ลิเวอร์พูลจะยิงได้เยอะ แต่เมื่อไปดูดาวซัลโวของทีมในซีซั่นนี้ ได้แก่ ซาดิโอ มาเน่ ด้วยผลงาน 9 ประตู ทั้งๆที่มาเน่ เล่นตำแหน่งตัวริมเส้นด้วยซ้ำไป มันแสดงให้เห็นว่า  กองหน้าหงส์แดงไว้ใจไม่ได้เลย

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ อาจเล่น False 9 พอได้ แต่พอมาจับยืนกองหน้าตัวเป้าจริงๆจังๆเขาใช้โอกาสเปลืองมาก ในเกมกับเชลซี มี 2 โอกาสจะจะ แต่เปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้ ขณะที่ตัวสำรองยิ่งแล้วใหญ่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ไม่เหลือฟอร์มที่เคยเฉียบขาดอีกแล้ว ขณะที่ดิว็อค โอริกี้ ก็สามวันดีสี่วันไข้ บางวันจะเล่นดีก็ดีเหลือเกิน บทจะแย่ก็แย่ใจหาย

ถ้ากองหน้ายังจบไม่คม เหล่ามิดฟิลด์ก็ต้องเหนื่อยต่อไป สร้างสรรค์โอกาสเป็นร้อยแต่ยิงไม่ได้ มันก็ไม่ได้สามแต้มอยู่ดี

3  หยุดสถิติแพ้คาบ้านได้สำเร็จ

ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล แพ้คาบ้าน 4 นัด แค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือปี 1923 แต่จากนั้นมา 94 ปี ลิเวอร์พูลไม่เคยแพ้ในบ้านติดกัน 4 นัดมาก่อนเลย

การแพ้ทีมรองบ่อนอย่าง สวอนซี , เซาธ์แฮมป์ตัน และวูล์ฟแฮมป์ตัน ทำให้แฟนหงส์แดงอยู่ในสภาวะตึงเครียด ยิ่งถ้าแพ้เชลซีอีกหนึ่งนัด สิ่งที่สั่งสมมาตลอดตั้งแต่ต้นฤดูกาล คงแหลกสลายไม่มีชิ้นดี อย่างไรก็ตามโชคยังดีที่เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้น
 ตามหลักแล้วเวลา เจออะไรแย่ๆมาต่อเนื่อง พอเรื่องแย่ๆเริ่มหยุด จากนี้ไป ก็น่าจะมีสิ่งดีๆเข้ามาบ้างเช่นกัน  สำหรับลิเวอร์พูลโปรแกรมต่อไป คือการไปเยือนฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะคว้าชัยชนะให้ได้เสียทีในเกมพรีเมียร์ลีก

4 เชลซี แกร่งทั่วแผ่น และมีอะไหล่ที่สมบูรณ์มาก

11 ตัวจริงของสิงห์บลูส์ มีความลงตัวมากจริงๆ สามเซ็นเตอร์ยิ่งเล่นยิ่งเข้าขา ลุยซ์ , เคฮิลล์ , อัซปิลิกวยต้า  ส่วนกองกลาง ก็องเต้ เด่นขึ้นเรื่อยๆ และแบ่งเบาภาระในเกมรับได้เยอะมาก  ส่วนแนวรุกที่มีทั้งอาซาร์ , วิลเลียน และ ดีเอโก้ คอสต้า ก็ไม่เป็นสองรองใครทั้งสิ้น

ขณะที่ตัวจริงแกร่งมากๆ ลองกวาดสายตาไปดูขุมกำลังสำรอง ก็จะเห็นว่า เป็นทีเด็ดที่เปลี่ยนเกมได้ตลอด  ดูอย่างเปโดร โรดริเกวซ ลงสนามเป็นสำรอง แต่ในเกมกับลิเวอร์พูล เขาใช้ความคล่องความเร็ว ปั่นป่วน จนเกือบยิงได้เหมือนกัน  หรืออย่างเชส ฟาเบรกาส ลงมาทีไร ก็มีลูกโยนบอลแม่นๆ ทำให้แนวรับคู่แข่งต้องเหนื่อยอยู่ตลอด

นี่คือจุดที่เชลซีมีเหนือใครๆพวกเขามีขุมกำลังที่ครบมากๆ แถมยังมีโปรแกรม เหลืออีกแค่ 2 รายการเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้เล่นเหนื่อยเกินไปด้วย

5 เชลซีก็พลาด แต่คู่แข่งไม่แน่นอน

จริงๆเชลซี ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์มากนักในซีซั่นนี้ ยังมีเกมหลุดเสมอให้เห็นบ้างเหมือนกัน ไม่ได้ชนะกระจุย แบบเรอัล มาดริด หรือบาเยิร์นมิวนิค อะไรแบบนั้น

แต่การที่พวกเขาทำแต้มห่างคู่แข่งขนาดนี้ เพราะ สเปอร์ส อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูล รวมถึงสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ นั้นไม่แน่นอนยิ่งกว่าเสียอีก และพร้อมทำแต้มหลุดมือตลอดเวลา

เชลซี มีความแน่นอน เกมยากๆที่เจอคู่แข่งอุด พวกเขายังเฉือนชนะได้ ขนาดในเกมเจอลิเวอร์พูลที่จนตรอกขนาดนี้ พวกเขายังได้ผลเสมอในรูปเกมที่ดีกว่า

ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่เชลซี จะเป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ และแน่นอน มีสิทธิวิ่งนำยาวเป็นอันดับ 1 ไปจนถึงวันสุดท้ายของฤดูกาลเลยด้วยซ้ำไป