แม้ยังเร็วเกินไปที่จะมาชี้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ตอนนี้ แต่อย่างน้อยผลการแข่งขันจากเกมคู่บิ๊กแมตช์ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคมนี้ คงจะทำให้ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง เพราะหาก "หงส์แดง" ที่รั้งจ่าฝูง เก็บสามแต้มได้ ก็จะทำคะแนนทิ้งห่างเลย และมีโอกาสสูงมากที่จะได้แชมป์ แต่ถ้าเป็น "เรือใบสีฟ้า" คว้าชัยได้ โอกาสก็จะเปิดกว้างอีกครั้ง และอาจจะทำให้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เสียศูนย์ก็ได้ ดังนั้นเกมนี้ถือเป็นเกมที่มีความหมายมากสำหรับทั้งสองทีม แต่ก่อนอื่นเรามาดูเกร็ดน่าสนใจของเกมคู่นี้กันเลยดีกว่า (จาก Opta)

- แมนฯ ซิตี้ เก็บชัยได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จาก 11 เกมหลังสุดที่เจอกับ ลิเวอร์พูล รวมทุกรายการ (เสมอ 3 แพ้ 7) ซึ่งชัยชนะที่ว่าคือเกมลีกฤดูกาลก่อนที่พวกเขาเปิดบ้านยำใหญ่ "หงส์แดง" 5-0 

- อย่างไรก็ตาม หากนับเฉพาะเกมลีกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ลิเวอร์พูล บุกมาเก็บชัยเหนือ แมนฯ ซิตี้ ได้แค่หนเดียว จาก 9 เกมหลังสุด (เสมอ 3 แพ้ 5) แถมเสียไปถึง 22 ประตู หรือตกเกมละ 2.2 ลูก

- เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 คือครั้งสุดท้ายที่ แมนฯ ซิตี้ แพ้คาบ้านในเกมลีก 2 นัดติด (พ่าย เลสเตอร์ ซิตี้ กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์) แต่ที่ผ่านมาในอาชีพกุนซือนั้น กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยแพ้เกมลีก 2 นัดติดที่บ้านเลย

- ที่ผ่านมา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ และ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ ลิเวอร์พูล เคยดวลกันมาแล้ว 15 ครั้ง ปรากฏว่า คล็อปป์ เหนือกว่า ด้วยสถิติชนะ 7 ต่อ 5 ที่เหลือ 3 ครั้งจบลงด้วยการเสมอกัน

- 17 เกมหลังสุด (รวมทุกรายการ) ช่วงเดือนมกราคม ลิเวอร์พูล คว้าชัยได้แค่ 5 หน (เสมอ 5 แพ้ 7) เท่านั้น และถ้านับรวมหมดในยุคของ คล็อปป์ ล่ะก็ "หงส์แดง" แพ้ไปถึง 9 ครั้ง จาก 24 เกม (ชนะ 8 เสมอ 7) ในช่วงเดือนมกราคม

- ลิเวอร์พูล ปิดท้ายปี 2018 ด้วยการมีคะแนนทิ้งอันดับสองถึง 7 แต้ม ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีทีมไหนที่สุดท้ายแล้ววืดแชมป์ ด้วยการมีคะแนนนำห่างขนาดนี้