ในที่สุดศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขันกันแล้ว ตอนนี้ได้ 4 สโมสรที่จะฟาดฟัดกันในรอบรองชนะเลิศ โดยมีทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เข้ามา 2 สโมสรได้แก่ ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ส่วนอีก 2 ทีมก็คือ บาร์เซโลน่า จาก ลา ลีกา สเปน และ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยักษ์ใหญ่ลีกดัตช์

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า จัดหนักจัดเต็มใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่เกรงใจด้วยการเปิดรังคัมป์ นู ทุบ "ปีศาจแดง" 3-0 ทำให้สกอร์รวม 2 แมตช์ "เจ้าบุญทุ่ม" ชนะไปแบบขาดลอย 4-0 ขณะที่ อาแจ็กซ์ สร้างความฮือฮาด้วยการโชว์ฟอร์มสุดยอด บุกไล่บี้ขยี้ "ม้าลาย" ยูเวนตุส 2-1 สกอร์รวม 2 นัดชนะ 3-2

ในส่วนของเกมวันพุธ ต้องบอกว่ามันยกร่องไฮไลต์คงหนีไม่พ้นเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดรังเอติฮัด สเตเดี้ยม รับการมาเยือนของ สเปอร์ส ซึ่งถือความได้เปรียบจากชัยชนะ 1-0 ในเกมแรก โดยเกมนี้ผ่านไปแค่ 11 นาทีซัดกันไป 4 ประตู และถือเป็นแมตช์ที่ยกให้ระดับ "ห้าดาว" เมื่อทั้งสองทีมเปิดเกมบุกใส่กันไม่ยั้ง

สำหรับแมตช์นี้พระเอกของเกมก็คือ "วีเออาร์" เพราะมีผลต่อการเข้ารอบของ "ไก่เดือยทอง" เพราะจังหวะแรกเป็นตอนที่ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ทำเข้าประตูดูเหมือนบอลจะโดนมือ แต่เมื่อ คูเน็ย์ต ชาคีร์ ท่านเปาจากตุรกีต้องเช็กวีเออาร์แล้ว เห็นชัดเจนว่าบอลโดนต้นขานักเตะเข้าไป

ขณะที่อีกจังหวะถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมอย่างแท้จริงๆ เมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และเป็นแฮตทริกของเขาในเกมนี้ แต่ท่านเปาแดนไก่งวง เช็ควีเออาร์อีกครั้ง และภาพแสดงให้เห็นว่า เซร์คิโอ อเกวโร่ วิ่งย้อนกลับมาจากจังหวะล้ำหน้า ทำให้ไม่ได้ประตู และนั่นเป็นไฮไลต์สุดท้ายที่ส่ง สเปอร์ส ทะลุเข้าสู่รอบรองตัดเชือก ถ้วย "บิ๊กเอียร์" ครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร นับตั้งแต่เปลี่ยนการแข่งขันจากยูโรเปี้ยน คัพ เป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (สเปอร์ส เคยทะลุรอบรองฯ ตอนที่ยังใช้ชื่อ ยูโรเปี้ยน คัพ ในฤดูกาล 1961–62)

ด้าน ลิเวอร์พูล ดูเหมือนว่าเกม 2 ในการเยือนถิ่น เอสตาดิโอ โด ดราเกา ค่อนข้างจะไม่ค่อยยากลำบากนักเมื่อพวกเขาพกความได้เปรียบจากการอัด ปอร์โต้ 2-0 ในเกมแรก และก็เป็นไปตามคาดที่เจ้าบ้านพยายามบุกใส่หวังทำประตูให้ได้ แต่ก็ไม่เกิดผล ก่อนจะมาโดน ซาดิโอ มาเน่ พุ่งเข้าชาร์จจิ้มบอล แม้ว่าผู้ช่วยผู้ตัดสินจะยกธงล้ำหน้า แต่ ดานนี่ มัคเคลี่ เชิ้ตดำกลางสนามขอฟังทีมงาน "วีเออาร์" ก่อนจะกลับคำตัดสินให้ "หงส์แดง" ได้ประตู

จบครึ่งแรก "เดอะ เร้ดส์" นำ 1-0 แต่สกอร์รวม 2 นัดทะลุไปที่ 3-0 ทำให้ครึ่งหลังทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นง่ายขึ้นเข้าไปใหญ่ และก็มาได้ประตูนำห่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แม้ ปอร์โต้ จะมาได้ประตูปลอบขวัญจากการโหม่งของ เอแดร์ มิลิเตา แต่เหมือนไปกระตุกต่อมโหดของทีมเยือน เพราะพวกเขาจัดหนักอีกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ จบเกม ลิเวอร์พูล ถล่มยับไม่นับญาติ 4-1 สกอร์รวม 2 แมตช์ชนะ 6-1

   รอบรองชนะเลิศ
ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) พบ บาร์เซโลน่า (สเปน)
นัดแรก แข่งวันที่ 31 เม.ย.หรือวันที่ 1 พ.ค. 
นัดสอง แข่งวันที่ 7 พ.ค.หรือวันที่ 8 พ.ค.

 ผลงานที่ผ่านมา
    ลิเวอร์พูล
    รอบแบ่งกลุ่ม
ชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3-2 (เหย้า)
แพ้ นาโปลี 0-1 (เยือน)
ชนะ เร้ด สตาร์ เบลเกรด 4-0 (เหย้า)
แพ้ เร้ด สตาร์ เบลเกรด 0-2 (เยือน)
แพ้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1-2 (เยือน)
ชนะ นาโปรลี 1-0 (เหย้า)
(สรุป เข้ารอบในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม ซี)

    รอบ 16 ทีมสุดท้าย
เสมอ บาเยิร์น มิวนิค 0-0 (เหย้า)
ชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-1 (เยือน)
(สกอร์รวม 3-1)

    รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ชนะ ปอร์โต้ 2-0 (เหย้า)
ชนะ ปอร์โต้ 4-1 (เยือน)
(สกอร์รวม 6-1)

บาร์เซโลน่า
    รองแบ่งกลุ่ม
ชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 4-0 (เหย้า)
ชนะ สเปอร์ส 4-2 (เยือน)
ชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-0 (เหย้า)
เสมอ อินเตอร์มิลาน 1-1 (เยือน)
ชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 2-1 (เยือน)
เสมอ สเปอร์ส 1-1 (เหย้า)
(สรุป  เข้ารอบในฐานะอันดับ 1 กลุ่ม บี)

    รอบ 16 ทีมสุดท้าย
เสมอ โอลิมปิก ลียง 0-0 (เยือน)
ชนะ โอลิมปิก ลียง 5-1 (เหย้า)
(สกอร์รวม 5-1)

    รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 (เยือน)
ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 (เหย้า)
(สกอร์รวม 4-0)

รอบรองชนะเลิศ
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พบ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ ดัม
นัดแรก แข่งวันที่ 31 เม.ย.หรือวันที่ 1 พ.ค. 
นัดสอง แข่งวันที่ 7 พ.ค.หรือวันที่ 8 พ.ค.

    สเปอร์ส
    รอบแบ่งกลุ่ม
แพ้ อินเตอร์ มิลาน 1-2 (เยือน)
แพ้ บาร์เซโลน่า 2-4 (เหย้า)
เสมอ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 2-2 (เยือน)
ชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 2-1 (เหย้า)
ชนะ อินเตอร์ มิลาน 1-0 (เหย้า)
เสมอ บาร์เซโลน่า 1-1 (เยือน)
(สรุป เข้ารอบในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม บี)

    รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 3-0 (เหย้า)
ชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 1-0 (เยือน)
(สกอร์รวม 4-0)

    รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 (เหย้า)
แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-4 (เยือน)
สกอร์รวม 4-4 สเปอร์ส เข้ารอบด้วยกฎอเวย์โกล หรือกฎประตูทีมเยือน

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
    รอบแบ่งกลุ่ม
ชนะ เออีเค เอเธนส์ 3-0 (เหย้า)
เสมอ บาเยิร์น มิวนิค 1-1 (เยือน)
ชนะ เบนฟิก้า 1-0 (เหย้า)
เสมอ เบนฟิก้า 1-1 (เยือน)
ชนะ เออีเค เอเธนส์ 2-0 (เยือน)
เสมอ บาเยิร์น มิวนิค 3-3 (เหย้า)
(สรุป เข้ารอบในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม อี)

    รอบ 16 ทีมสุดท้าย
แพ้ เรอัล มาดริด 1-2 (เหย้า)
ชนะ เรอัล มาดริด 4-1 (เยือน)
(สกอร์รวม 5-3)

    รอบ 8 ทีมสุดท้าย
เสมอ ยูเวนตุส 1-1 (เหย้า)
ชนะ ยูเวนตุส 2-1 (เยือน)
(สกอร์รวม 3-2)