เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล จุดประเด็นร้อนหลังจากที่ทีมของเขาออกไปแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 ที่สนาม เซนต์ แมรี่ส์ ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากที่ตำหนิทีมงานกรรมการโทษฐานที่ไม่ยอมให้ลูกจุดโทษกับทีมของเขาถึง 2 จังหวะ แถมยังพาดพิงด้วยว่าช่วง 2 ปีครึ่งที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น "ปีศาจแดง" ได้ลูกจุดโทษมากกว่า 5 ปีที่เขากุมบังเหียน "หงส์แดง" ซะอีก
   
ถ้าแค่จะบ่นกรรมการมันคงไม่น่าสนใจอะไร แต่การพูดถึง แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยมันทำให้หลายคนของฝั่ง "ปีศาจแดง" ไม่พอใจในระดับหนึ่ง และมันก็นำไปสู่การตั้งคำถามว่า ลิเวอร์พูล ได้รับการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมมากกว่าทีมยักษ์ใหญ่ทีมอื่นๆ เป็นพิเศษหรือไม่ ? ซึ่งวันนี้เราจะมาดูตัวเลขในด้านนั้นกันนิดหน่อย

30 ลูก คือจำนวนลูกจุดโทษที่กรรมการมอบให้กับ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน "หงส์แดง" เมื่อช่วงเดือนตุลาคม ปี 2015 เชื่อหรือไม่ว่าในช่วงเวลานั้นพวกเขาได้ลูกจุดโทษน้อยกว่า คริสตัล พาเลซ ซะด้วยซ้ำ หลังจากที่ "ดิ อีเกิ้ลส์" ได้ยิงเป้าไปทั้งหมด 36 หน

ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล เลยเป็นอันดับ 5 ในชาร์ตทีมที่ได้ลูกจุดโทษเยอะที่สุดใน พรีเมียร์ลีก หากนับตั้งแต่วันที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม แต่ถึงกระนั้นอันดับ 1 ก็ไม่ใช่ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากที่ "ปีศาจแดง" ได้ลูกจุดโทษ 41 ครั้งจนเป็นที่ 3 ของชาร์ตนี้

สำหรับอันดับ 1 ได้แก่ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ลูกจุดโทษไปมากถึง 45 ครั้ง ตามมาด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ไป 43 หน ขณะที่ถ้าเทียบกับทีมใหญ่ด้วยกันนั้น ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษมากกว่า เชลซี กับ สเปอร์ส นิดหน่อย เพราะอีก 2 รายไดเไป 29 ลูกกับ 28 หน ตามลำดับ

ทีมที่ได้ลูกจุดโทษใน พรีเมียร์ลีก เยอะที่สุด นับตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เข้ามาคุม ลิเวอร์พูล 10 อันดับแรก
    1. เลสเตอร์ 45
    2. แมนฯ ซิตี้ 43
    3. แมนฯ ยูไนเต็ด 41
    4. คริสตัล พาเลซ 36
    5. ลิเวอร์พูล 30
    6. เชลซี 29
    7. สเปอร์ส 28
    -  บอร์นมัธ 28
    9. วัตฟอร์ด 25
    - เซาธ์แฮมป์ตัน 25
    - เอฟเวอร์ตัน 25

เอาล่ะ ทีนี้มาลองเจาะลึกันลงไปสักหน่อย หนึ่งในสิ่งที่จะทำให้ได้ลูกจุดโทษคืออะไร ? คำตอบคือการโดนทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ แล้วทีมของ คล็อปป์ ได้จับบอลในกรอบเขตโทษมากแค่ไหนกันหากเทียบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่อริตัวฉกาจที่เขาพาดพิงถึง ? ซึ่งเราก็จะมาเปรียบเทียบตั้งแต่ซีซั่น 2016-17 หรือก็ฤดูกาลแรกที่ คล็อปป์ ได้กุมบังเหียน ลิเวอร์พูล แบบเต็มตัวกัน

ในซีซั่นนั้น ลิเวอร์พูล มีจังหวะจับบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง 1,155 ครั้ง โดยที่พวกเขาได้ลูกจุดโทษไปทั้งหมด 8 หน ซึ่งในซีซั่นนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ลูกจุดโทษน้อยกว่า ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ หลังจากพวกเขาได้ยิงเป้าไปเพียง 4 ครั้งตลอดทั้งซีซั่น แต่ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขามีจังหวะจับบอลในกรอบเขตโทษ 1,055 ครั้ง น้อยกว่า ลิเวอร์พูล ถึง 100 หนก็ได้

ในซีซั่นต่อมาก็ยังเป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล มีจังหวะได้จับบอลในกรอบเขตโทษมากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ที่จำนวน 1,167 ครั้ง ต่อ 961 ครั้ง แต่ถึงกระนั้นทั้ง 2 ทีมก็ได้ลูกจุดโทษตลอดทั้งฤดูกาลในเกมระดับ พรีเมียร์ลีก ไปเพียง 3 หนเท่านั้น

ฤดูกาล 2018-19 นี้เองที่ทิศทางมันต่างไปจากเดิม ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษไปทั้งหมด 7 ครั้ง จากการได้จับบอลในกรอบเขตโทษ 1,236 หน ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเปลี่ยนกุนซือจาก โชเซ่ มูรินโญ่ มาเป็น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในช่วงเดือนธันวาคม มีจังหวะยิงเป้ามากถึง 12 ครั้ง ทั้งที่ได้จับบอลในกรอบเขตโทษแค่ 965 รอบ

พอถึงฤดูกาลก่อนก็ยังเป็นอีกครั้งที่เกมรุกของ ลิเวอร์พูล ต่อบอลกันได้ไหลลื่นจนมีจังหวะได้จับบอลในกรอบเขตโทษมากกว่าหนึ่งในคู่อริตลอดกาล ที่จำนวน 1,276 หนต่อ 965 ครั้ง แต่ทีมของ คล็อปป์ กลับได้ยิงลูกจุดโทษเพียงแค่ 5 หน ตรงกันข้ามกับทีมของ โซลชา ที่ได้โอกาสแบบนั้นไปถึง 14 ครั้ง

จนมากระทั่งฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ได้จับบอลในกรอบเขตโทษไปทั้งหมด 583 ครั้ง แต่ได้ลูกจุดโทษไป 5 หน ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เครื่องร้อนแรงในช่วงหลายเกมที่ผ่านมาได้ลูกจุดโทษ 6 ครั้ง ทั้งที่มีโอกาสจับบอลในกรอบเขตโทษ 399 หน

แน่นอน สถิติเหล่านี้มันไม่ได้หมายความว่าลูกจุดโทษส่วนใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มาแบบไม่เหมาะสม และไม่ได้บอกเช่นกันว่าทุกจังหวะที่กรรมการไม่ยอมเป่าเป็นจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล เป็นการตัดสินที่ผิดพลาด แต่อย่างน้อยมันก็พอจะบอกได้ว่า ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษน้อยจริงๆ หากพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าพวกเขามีจังหวะจับบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่งมากกว่าที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ซะอีก

ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ ลิเวอร์พูล จะเอามาอ้างได้อย่างเต็มปากเต็มคำเช่นกัน เพราะอย่างที่ คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมพ่าย เซาธ์แฮมป์ตัน นั่นแหละว่ามีเกมที่ลูกทีมของเขาทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานจริงๆ โดยที่นัดพ่าย "นักบุญ" ก็เป็นหนึ่งในนั้น และนั่นก็หมายความว่า ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องแก้ไขฟอร์มของพวกเขาเองด้วย ไม่ใช่ให้ฝั่งกรรมการพัฒนาการตัดสินเพียงฝ่ายเดียว