โชว์ผลงานได้สุดสะแด่วเหลือเกินสำหรับทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ในเกมนัดที่ 2 ด้วยการถล่มเอาชนะ ทีมชาติเมียนมา ไปแบบขาดลอย 4-0 เก็บชัยชนะสองเกมรวดขยับรั้งจ่าฝูงของตารางกลุ่ม เอ ในศึก "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020" ที่แดนลอดช่อง ทันที
   
เกมนี้ "มาโน่ โพลกิ้ง" ที่ปรับทัพถึง 4 ตำแหน่ง ส่งทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน, ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร และ ศุภชัย ใจเด็ด ออกสตาร์ตตัวจริง พร้อมปรับระบบมาเล่น 4-4-2 ไดมอนด์ จากเกมแรกที่ใช้แผน 4-2-3-1 แบบกองหน้าตัวเดียว

1. คุณภาพเหนือกว่าหลายขุม

การปรับหมากมาเล่นระบบนี้ ทำให้แข้งช้างศึกดูมีชีวิตชีวามากกว่าเกมนัดเปิดสนาม ด้วยนักเตะที่มีคุณภาพและเคยร่วมเล่นกันมาอย่างยาวนาน อีกทั้งการได้ 2 ซูเปอร์สตาร์จากแดนอาทิตย์อุทัยมาเสริม ทำให้รูปเกมค่อนข้างที่จะข่มเมียนมาตลอด 90 นาที

ด้วยเกมบุกที่มีความหลากหลาย การต่อบอลทะลุช่องที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งการเล่นเพรสซิ่งสูง พยายามแย่งบอลจากคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด ทำเอาผู้เล่นของเมียนมาถึงกับ โงหัวไม่ขึ้น ตั้งเกมบุกของตัวเองไม่ได้เลย มีแต่ต้องคอยให้นักเตะไทยต่อบอลกันพลาดเองถึงจะสามารถพาบอลโต้กลับได้

2. "ธนวัฒน์" วัตถุดิบชิ้นดี

การส่ง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ลงตัวจริง และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สามารถประสานเกมกับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้อย่างกลมกล่อม แถมยังสร้างสรรค์โอกาสของตัวเองด้วยการหาพื้นที่ยิงไกลอยู่ 4 ช็อต ซึ่งก็ถือว่าไม่ธรรมดากับเด็กหนุ่มในวัย 21 ปีรายนี้

ประสบการณ์จากการโลดแล่นอยู่บนเวทีลีกผู้ดีอังกฤษกับเลสเตอร์ ซิตี้ ยู-23 ปี ยังนำมาใช้ปรับให้เข้ากับรุ่นพี่ในทีมชาติไทย จากเกมนี้เขาแสดงให้เห็นแล้วว่า เรื่องฝีเท้าไม่น้อยหน้าใคร และเขาจะเป็นอนาคตของทัพ "ช้างศึก" ในภายภาคหน้า ที่จะขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่อย่างแน่นอน

3. แนวรับคู่หู "บุ๋น-บู๊"

แม้จะยังคงใช้คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทั้ง กฤษดา กาแมน และมานูเอล ทอม เบียรห์ เป็นเกมที่สองติดต่อกัน เชื่อว่า "มาโน่ โพลกิ้ง" คงจะใช้คู่หูคู่นี้เป็นตัวหลักสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้เป็นแน่ และการจับคู่ในเกมกับ เมียนมา ยังสามารถช่วยกันในเกมรับได้ดี คอยวิ่งตามประกบและสกัดลูกอันตรายได้หลายต่อหลายครั้ง

หลายคนคงมองว่า กฤษดา กาแมน อาจไม่ใช่กองหลังอาชีพขนานแท้ และด้วยรูปร่างที่ไม่สูงใหญ่มากนัก แต่อย่าลืมว่าการออกบอลของเขาค่อนข้างที่จะแม่นยำพอสมควร บวกกับลูกกลางอากาศที่มี มานูเอล ทอม เบียรห์ คอยหนุนช่วยอยู่แล้ว เรียกได้เป็น 2 ปราการหลังทั้ง "บุ๋น-บู๊" ที่ค่อนข้างลงตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ

4. โชว์ความเก๋าใส่เสียเลย

จากที่หลายคนเห็น ผู้เล่นเมียนมา มักมีติดดาบสองตลอดยามเข้าบอลกับนักเตะไทย แต่ถือว่าผู้เล่นชุดนี้ผ่านประสบการณ์ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว การควบคุมอารมณ์ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ไปเล่นตามเกมของเมียนมา ทำให้นักเตะไทยกลายเป็นโชว์ความเก๋าให้แข้งเมียนมาชมเสียเลย

อย่างไรก็ตามนักเตะชุดนี้ ก็อาจจะมีอาการบอบช้ำอยู่พอสมควร เพราะโดนไล่เตะอยู่ตลอด ปล่อยบอลออกจากเท้าไปแล้ว โดนแข้งเมียนมาใส่ตามน้ำมาแทบทุกดอก งานนี้ได้พัก 2 วันก่อนดวล ฟิลิปปินส์ คงต้องฟื้นฟูร่างกายกันยกใหญ่ แต่เชื่อว่าเรื่องแค่นี้นักเตะไทยรับได้สบายมาก

5. "มุ้ย" ยังไงก็คือ "มุ้ย"

2 ประตูที่ "มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา ยิงใส่เมียนมา กลายเป็นการประกาศเลยว่า อายุ 33 ปีแล้วยังไง แถมเป็นการลบคําสบประมาทจากเหล่าแฟนบอล "คีย์บอร์ดไลเซนส์" บางคน ไปโดยปริยาย หลังเกมกับติมอร์ เลสเต ต่างบอกว่า "มุ้ย" คงหมดแล้ว ฟอร์มก็ไม่ดี อย่างนู้นอย่างนี้ บลา ๆ ๆ ฯลฯ

นอกจากนี้การยิงได้ 2 สกอร์ ทำให้ "มุ้ย" ขึ้นแท่นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลชิงแชมป์อาเซียนเทียบเท่ากับ "นอห์ อลัม ชาห์" ตำนานกองหน้าสิงคโปร์ ที่ยิงได้ 17 ประตูเท่ากันทันที ต่อจากนี้ไปขอแค่อีกสกอร์เดียวชื่อของ ธีรศิลป์ แดงดา จะถูกจารึกรั้งบัลลังก์ดาวซัลโวตลอดกาลเดี่ยว ๆ ทันที เชื่อว่าคงจะทำลายได้เป็นแน่

ชัยชนะจากเกมนี้มันจบลงไปแล้ว ต่อจากนี้ไปน่าจะเป็นเกมที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ 2 เกมสุดท้ายเจอกับ ฟิลิปปินส์ และเจ้าภาพสิงคโปร์ คงไม่ใช่เกมที่ง่ายเหมือนกับติมอร์ เลสเต และเมียนมา แน่นอน งานนี้จะเป็นบทพิสูจน์ต่อไปของทีมชาติไทย ที่จะทำอย่างไรให้ผ่าน 2 เกมสำคัญนี้ไปให้ได้

เกมนัดที่ 3 แฟนบอลชาวไทยอย่าลืมติดตามเชียร์ และให้กำลังใจ วันอังคารที่ 14 ธ.ค.64 มีคิวบรรเลงเพลงแข้งฉะ ฟิลิปปินส์ เวลา 16.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยช่อง 7 HD ยังรับหน้าที่ยิงสดให้คนลูกหนังทั่วทั้ง 77 จังหวัดได้รับชมเหมือนเคย !