เดชา ไกรศาสตร์ หรือ “ตั้น สลาตัน" เตรียมสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบิดคนแรกที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น ที่สามารถคว้าแชมป์จักรยานยนต์ "ออล เจแปน" มาครองได้สำเร็จ หลังทำเวลารอบควอลิฟายด์ได้ดี ห่างจากอันดับ 1 แค่เสี้ยวของ 1 วินาทีเท่านั้น ส่งผลให้ได้ออกสตาร์ตในอันดับที่ 4 ขอเพียงเข้าป้ายไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 17 ในรอบแข่งจริง จะคว้าแชมป์ทันที...

27 ต.ค. นที คงสุข ผู้สื่อข่าวกราวกีฬาไทยรัฐ รายงานจากสนามแข่งรถซูซูกะ เรซ เซอร์กิต ประเทศญี่ปุ่น ถึงการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ เอ็มเอฟเจ ออล เจแปน โรด เรซ แชมเปียนชิพ 2012 สนามที่ 7 ซึ่งเป็นสนามสุดท้ายของฤดูกาล เป็นการแข่งขันในรอบควอลิฟายด์ เพื่อจัดอันดับการออกสตาร์ตในการแข่งขันจริงซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 ต.ค. โดย 2 นักบิดไทย ภายใต้สังกัดของ "ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม" ประกอบด้วย “ตั้น สลาตัน" เดชา ไกรศาสตร์ ซึ่งเป็นจ่าฝูงจากการลงแข่งมาแล้ว 6 สนาม มีคะแนนสะสม 139 แต้ม และ “เจ้าเบียร์" เฉลิมพล ผลไม้ ซึ่งรั้งอันดับที่ 4 ลงแข่งในรุ่น ST600

สำหรับในการควอลิฟายด์ ปรากฏว่า นักบิดไทยทั้ง 2 คนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดย เดชา ไกรศาสตร์ ลงวิ่ง 14 รอบ ทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบที่ 3 ด้วยเวลา 2.12.684 นาที ตามหลังอันดับ 1 แค่ 0.169 วินาที ส่งผลให้เขาได้ออกสตาร์ตเป็นอันดับที่ 4 ในวันแข่งขันจริง ส่วน เฉลิมพล ผลไม้ ซึ่งมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณแผ่นหลัง เนื่องจากรถล้มในการซ้อมเมื่อวันก่อน ทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบที่ 3 จากการลงวิ่งแค่ 7 รอบ ด้วยเวลา 2.12.900 นาที ตามหลังอันดับ 1 แค่ 0.385 วินาที ได้ออกสตาร์ตเป็นอันดับที่ 6

หลังเสร็จสิ้นรอบควอลิฟายด์ เดชา กล่าวว่า พอใจกับผลงานในรอบควอลิฟายด์นี้ ซึ่งเวลาที่ทำได้ดีกว่าตอนซ้อมด้วย ในวันแข่งจริงตนคงเน้นการเก็บแต้มให้มากที่สุด มากกว่าที่จะเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 เนื่องจากต้องการประคองให้จบการแข่งขัน ตนไม่อยากขี่แบบเสี่ยงๆ เพราะคะแนนนำห่างค่อนข้างมาก และหากเข้าเส้นชัยไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 17 ก็จะคว้าแชมป์ทันที อย่างไรก็ตาม หากมีจังหวะที่มั่นใจก็จะเร่งเพื่อพยายามทำอันดับขึ้นยืนบนโพเดียมในสนามสุดท้าย และจะเป็นความภาคภูมิใจด้วย

ต่อข้อซักถามของสื่อมวลชนที่ว่า มีความกังวลว่านักแข่งเจ้าภาพจะจงใจพุ่งเข้าชนเพื่อไม่ให้นักบิดไทยได้แชมป์หรือไม่นั้น นักบิดชาวไทยกล่าวว่า นักแข่งของญี่ปุ่นมีสปิริตความเป็นนักกีฬา ไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนั้น แต่ก็จะไม่ประมาท และคอยระวังตัวตลอดเวลา มาถึงตรงนี้ตนไม่กดดันอะไรมากนัก และไม่กังวลกับการที่อุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นประกาศว่า ในวันแข่งจริงอาจจะมีฝนตกลงมาด้วย เชื่อมั่นว่าจะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองและประเทศไทยได้สำเร็จ

ขณะที่ “พี่แดง" กรธัช แก่นจันทร์ดา ผู้อำนวยการทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง เปิดเผยว่า เมื่อผลการจัดอันดับออกสตาร์ตออกมา เราได้อยู่ในแถวที่ 2 ถือว่าเบาใจลงไปเยอะ ในส่วนของเดชา เขาคงจะไม่เสี่ยง จะเร่งแซงเมื่อมีจังหวะเท่านั้น เพราะไม่ซีเรียสเรื่องของเวลาและอันดับมากนัก แต่ก็คงกำชับให้ระวังในช่วงต้นๆ ของการออกสตาร์ต โดยเฉพาะโค้งแรก ซึ่งยังมีรถหลายคัน และอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มาถึงตรงนี้ตนเชื่อมั่นว่าหากผ่านโค้งแรกได้ดี ก็น่าจะได้ลุ้นกันยาว สำหรับเฉลิมพล ที่ยังเจ็บแผ่นหลัง อาจจะต้องพ่นยาชาลงสนาม แต่ก็น่าจะทำผลงานได้ดีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การลงแข่งจริงคงมีการวางแผนการวิ่งอีกครั้ง ทั้งเรื่องของรถ ยาง สภาพอากาศ และตัวนักแข่งเอง ซึ่งมาถึงตรงนี้มีความเป็นไปได้ที่นักแข่งของเราทั้ง 2 จะได้ขึ้นโพเดียมพร้อมกันในสนามนี้ ซึ่งตนก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของนักแข่งไทย รวมทั้งยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม ด้วย

สำหรับเดชา ไกรศาสร์ ซึ่งทำคะแนนรวมสะสมจากการลงแข่งมาก่อนหน้า 6 สนาม ไว้ที่ 139 คะแนน สามารถเก็บคะแนนสะสมเพิ่มได้อีก 3 แต้ม หรืออันดับไม่ต่ำกว่าตำแหน่งที่ 17 เขาจะสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักบิดคนแรกที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นที่คว้าแชมป์รายการนี้ ซึ่งจัดมาแล้วทั้งหมด 46 ปี ได้สำเร็จ ขณะที่เฉลิมพล หากอยู่ในการแข่งขันจนจบ จะส่งผลให้เขาทำอันดับที่ดีที่สุดได้ในอันดับ 4 ของตารางคะแนนรวมสะสม