ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ลีกคัพอื่นๆ » สัมผัสแรกที่ปอร์ตู อเลเกร

สัมผัสแรกที่ปอร์ตู อเลเกร

Posted 15/06/2014 by siamsport

 

เวลาเปลี่ยนเมืองแต่ละที โดยเฉพาะในดินแดนที่เอาแน่อะไรไม่ได้นี่ ทำใจไว้เลยว่าเสียเวลาหนึ่งวัน ยิ่งถ้าฝนฟ้าไม่เป็นใจด้วยแล้ว ทุกอย่างก็จะยิ่งล่าช้ากว่าที่คิด


 ช่วงสายศุกร์ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีคิวต้องเดินทางอีกครั้งหลังมาหมกตัวอยู่ในเซา เปาโล 4 วันได้ เที่ยวนี้ตัวเองกับคุณ ''เบน ไม่ต้องสืบ'' หรือ ยศยุต เวียงวิเศษ ช่างภาพของเรา จะมุ่งหน้าลงใต้ไปยังปอร์ตู อเลเกร เมืองหลวงแห่งรัฐใต้สุดของบราซิล คือรัฐรีอู กรันดิ ดู ซูล


 รีอู กรันดิ ดู ซูล เป็น 1 ใน 26 รัฐของบราซิล ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศ ทางเหนือติดกับรัฐซานตา กาตารีนา นอกจากนั้นยังเป็นรัฐพรมแดนที่กั้นระหว่างบราซิลกับอาร์เจนตินาทางตะวันตก และบราซิลกับอุรุกวัยทางทิศใต้ ขณะที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก


 ว่ากันว่าที่นี่มีประชากรราว 1.5 ล้านคน และที่เพิ่งรู้ตอนขึ้นเครื่องบินเนื่องจากพอจะมีเวลาอ่านข้อมูลของเมืองนี้ก็คือ รัฐรีโอ กรันดิ ดู ซูล มีค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์เป็นอันดับ 5 ของประเทศ


 หือ? อะไรนะ? ค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์คืออัลไล?


 ค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์ หรือ Human Development Index คือดัชนีวัดและเปรียบเทียบความอยู่ดีกินดีของมนุษย์ ว่าด้วยความยากจน การรู้หนังสือ การศึกษา อายุขัย การคลอดบุตร และปัจจัยอื่นๆ ของประเทศต่างๆ ในพิภพนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน ซึ่งทางสหประชาชาติเขาใช้ดัชนี HDI นี่ระบุว่าประเทศไหนพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา หรือไม่ยอมพัฒนาซักที


 แต่ก่อนจะถึงปอร์ตู อเลเกร หนูดีมีเรื่องมาเล่า...


 เราออกจากที่พักย่านดาวน์ทาวน์ของเซา เปาลู ในช่วงสาย ราว 09.30 น. โดยที่ไฟลต์จากสนามบินกัวรุลโยสถูกกำหนดไว้ในเวลา  14.25 น.


 ยังจำสนามบินที่อิชั้นเปรียบเทียบว่าเหมือนสุวรรณภูมิได้รึเปล่า ว่าตอนมาถึงครั้งแรก ต้องนั่งรถบัสจากสนามบินนานาชาติกัวรุลโยสไปยังสนามบินคอนกอนยาส หรือดอนเมือง เพื่อต่อแท็กซี่เข้าเมืองอีกที เพราะกัวรุลโยสไม่ได้อยู่ในเขตจังหวัดเซา เปาลู แล้ว โดยวันนั้นขนาดฝนไม่ตกยังโดนไป 2 ชั่วโมง


 หนนี้แม้จะไม่ได้เดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วน แต่ก็คิดว่าเผื่อเวลาเอาไว้เต็มแม็กก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็รีบถ่อออกจากเซา เปาลู โดยมิรอช้า แต่ทีนี้จุดที่พักอยู่นั้น พนักงานโรงแรมบอกว่าถ้าขึ้นแท็กซี่สามารถออกไฮเวย์แล้วมุ่งตรงไปยังสนามบินกัวรุลโยสได้เลย โดยเสียค่าแท็กซี่ต่างกันไม่มาก เราจะได้ไม่เสียเวลาด้วย ว่าแล้วก็เลยตรงดิ่งไปยังสนามบินกัวรุลโยสโดยเสียค่ารถแบบไม่เปิดมิเตอร์ไป 110 เฮอาอีช


 ใบจองตั๋วเครื่องบินระบุว่า Terminal 1 ความที่ไปถึงเร็วมาก เที่ยวบินที่จะไปยังไม่ขึ้นหน้าจอแน่ๆ ก็เลยนั่งรอไปก่อน นั่งไปนั่งมาก็ลุกเดิน เดินไปเดินมาก็เอ๊ะ! เจอป้ายที่บอกว่าสายการบิน TAM LINHAS AEREAS หรือ อีแต๋ม แอร์ไลน์ส ต้องไป Terminal 2 สงสัยดังนั้นจึงเดินเลยเถิดไปที่ Terminal 2 พบเคาน์เตอร์ของอีแต๋ม แอร์ไลน์ส เรียงกันเป็นพรืด เพราะนอกจากอีแต๋มจะเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในบราซิล ยังใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ด้วย


 เหลียวซ้ายแลขวา พบกราวด์ โฮสเตส อยู่ 3 นายและนาง จึงเดินเข้าไปถามว่ามึงจะเอาไงแน่ อาคาร 1 หรือ 2 พร้อมเอา e-ticket ให้เขาดู กราวด์ โฮสเตสหนุ่มเลยจับทำเช็คอินกับเครื่อง (จริงๆ ให้ทำในเว็บได้ แต่เผอิญอ่านภาษาเขาไม่ออก) ซึ่งเที่ยวบินในประเทศที่นี่ ผู้โดยสารมักทำการเช็คอินแบบออนไลน์มาก่อน แล้วมาเข้าคิวหน้าเคาน์เตอร์เพื่อโหลดกระเป๋าเท่านั้น


 ได้ความดังนั้นก็วิ่งไปตามช่างภาพให้ขนกระเป๋ามาอาคาร 2 จากนั้นก็ไปเข้าคิวโหลดกระเป๋า เจ้าหน้าที่วงกลมเกทหรือประตูขึ้นเครื่องมาให้ว่าหวยออกที่เลข 7


 แม้จะไม่รีบแต่ก็ไม่รู้จะอยู่ข้างนอกทำไม เลยสแกนตับไตไส้พุงและข้าวของ เข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่หน้าเกทเลย แต่นั่งไปนั่งมาก็ชักเอะใจเพราะมีเที่ยวบินไปเรซีเฟ่มาแทรกที่เกท 1 เที่ยว อุดมไปด้วยชาวญี่ปุ่น มีไกด์ทัวร์ญี่ปุ่นมาด้วย กระทั่งเที่ยวบินดังกล่าวไปกันหมด ก็เริ่มได้ยินเสียงตามสายมีชื่อเมืองปอร์ตู อเลเกร แต่ทำไมพวกที่อยู่หน้าเกทด้วยกันไม่เห็นขยับซักที


 ซักบ่ายสองโมงเห็นท่าไม่ดี ได้ยินชื่อเมืองปอร์ตู อเลเกรอีกครั้ง มันคงเกี่ยวกับกูเป็นแน่แท้ เดินไปส่องจออีกที เกทเหมือนเดิม แต่ขึ้นว่า Last Call (หรือ Final Call) เราก็ อ้าว! เรียกครั้งสุดท้ายแล้วเรียกกูไปขึ้นที่เกทไหนกันล่ะนี่ ประตูหน้าเกทที่รออยู่ก็ปิดแล้ว อย่ากระนั้นเลย จำต้องคุยกับมนุษย์ซักคน ว่าแล้วก็ไปยืนเคาะกระจก เรียกเก้งนายหนึ่งออกมา เอาตั๋วให้ดูแล้วนางหรือนายคนนั้นก็บอกว่า ''เกท 3 ฮ่ะ''


 ความทราบถึงกูดังนั้น คว้ากระเป๋าลากขึ้นเครื่องหนึ่งใบแล้วร้องบอกช่างภาพว่าเกท 3 เว้ยเฮ้ย ตามมาอย่าเพิ่งถาม ว่าแล้วก็วิ่งถอยลงไป 4 เกท ไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานกำลังประกาศเรียกชื่ออิชั้นกับช่างภาพ โดยข้ามนามสกุลไปเพราะอ่านไม่ออก และชื่อคนต่างชาติอีก 2 คนพอดี


 ให้เผอิญที่เธอยังคงประกาศเป็นภาษาโปรตุกีส อารมณ์นั้นเลยตะโกนใส่หน้านางไปว่า ''ถ้าคุณยังประกาศเป็นภาษาโปรตุกีสต่อไป ประกาศถึงพรุ่งนี้กูก็ยังไม่รู้เรื่องหรอก พอได้แล้ว''


 จากนั้นก็ยื่นบอร์ดดิ้ง พาส ให้นาง นางปั้นหน้าตอบกลับมาว่า It''s English now. หรือตะกี้ที่กูเรียกชื่อมึงนั่นมันภาษาอังกฤษนะคะ


 ได้ยินดังนั้น ถ้าไม่เพราะกัปตันมันรออยู่ จะเสียเวลากระโดดตบแบบ จุง โคชิกะ ซัก 3 ดอก ชื่อนามสกุลอิชั้นอ่านตรงตัวได้อย่างเดียว เพราะสะกดแบบอ่านผิดไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะตรงนามสกุล Patoommawatana เนื่องจากถ้าใช้ u แทน oo อย่างที่หน่วยงานราชการสะกดให้คนในครอบครัวเป็น Patummawatana ฝรั่งหรือคนไทยนี่แหละ อาจจะอ่านเป็น ''ปทัมมาวัฒนา'' ได้อีก ส่วนชื่อตัว Urai มีแต่คนญี่ปุ่นที่จะอ่านแยกสระ หรือผิดไปจากที่ตั้งใจเป็น ''อุ-ระ-อิ'' ดังนั้น ชื่ออิชั้นอ่านเป็นโปรตุกีสไม่ได้โว้ยยย!


 เอาน่ะ! ไหนๆ ก็ไม่ตกเครื่อง ให้อภัยทุกสิ่งอย่าง แจก Shit มันไปทีนึงแล้วเดินสะบัดตูดไปขึ้นเครื่อง ปรากฏว่ามีเวลานั่งเก็บตับที่แลบออกมาเข้าที่อีกครึ่งชั่วโมงเศษ เพราะยังมีผู้โดยสารต่างชาติอีก 2 คนที่เรียกแล้วไม่มา ทางอีแต๋ม แอร์ไลน์ส ก็ต้องหากระเป๋าของ 2 คนนั่นเพื่อเอาออกมาจากใต้ถุนเครื่องด้วย


 เที่ยวบิน JJ 3293 ลอยเท้งเต้งมาจนจะถึงปอร์ตู อเลเกร แล้วก็เจอฝนฟ้ากระหน่ำ แต่การแลนดิ้งก็เรียบร้อยดี นอกจากจะไม่ลื่นไถลออกนอกลู่นอกทาง ยังหยุดตรงจุดเพื่อเลี้ยวเข้าหาอาคารผู้โดยสารได้พอดีอีกต่างหาก เราโผล่ออกจากนกเหล็กราว 4 โมงครึ่ง ซึ่งพอเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ฮอลแลนด์โดนแล้ว 1 ดอก


 หลังได้กระเป๋าเสร็จสรรพก็เดินออกมาด้านนอกอาคารผู้โดยสาร พบว่าทุกอย่างดูเรี่ยมเร้เรไร บ่งบอกได้ถึงความเจริญแถวนั้น เข้าไปถามหาข้อมูลเรื่องการเดินทางเข้าเมืองกับเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยว พบว่าสามารถเข้าเมืองได้ 2 ทางตามแต่กำลังศรัทธา คือแท็กซี่กับรถเมล์


 ดูลู่ทางและสนนราคาของบริการแต่ละแบบแล้วก็หันไปบอกกับ เบน ไม่ต้องสืบ ว่าไปรถเมล์แล้วกัน เพราะข้าวของพอขนไหว อีกทั้งมันถูกมาก แค่คนละ 2.95 เฮอาอีชเท่านั้น


 เดินพ้นจากอาคารผู้โดยสารก็เจอป้ายรถเมล์ สาย T5 ปลายทาง Bom Fim ให้ลองนึกภาพตามเพื่อความเข้าใจก็คือสนามบินอยู่ทางเหนือของเมือง ส่วนที่พักกับสนามอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ แล้วปลายทางของรถเมล์สายนี้เลยจากป้ายที่เราจะลงเพียง 2 ป้าย ไม่ว่าจะลงป้ายไหน แล้วต่อแท็กซี่ไป ถูกกว่ากันเห็นๆ


 เราคงขึ้นรถเมล์สายนี้ที่ต้นทางน่ะคุณ เวลานั้นก็ราวๆ 5 โมงเย็น ตอนขึ้นนี่แทบไม่มีใครเลยนะ มีผู้โดยสารขึ้นจากป้ายสนามบินเหมือนกันอยู่ 1 คน จากนั้นรถก็แล่นออกมาตามเส้นทาง ฝนก็ตก รถก็ติด เราก็ไม่คิดว่าจะมีคนออกมาใช้บริการรถเมล์ในตอนนี้นักหนา แต่ปรากฏว่า...


 ปรากฏว่ายิ่งแล่นไป อิชั้นก็ได้แต่คิดในใจและปรึกษากับช่างภาพว่า ''นี่เราจะลงยังไงวะเนี่ย?'' เพราะเบื้องหน้าไม่มีรูให้เดิน โดยเจ้าเบนนั้นมีกระเป๋าใหญ่มาด้วย ขณะที่เป้หลังซึ่งเป็นอุปกรณ์มีค่าทั้งสิ้นก็หนักอึ้ง ส่วนตัวเองมีเป้หนึ่ง กระเป๋าลากใบย่อมหนึ่ง


 รถเมล์ก็แล่นไปตามทางของมัน ความทุลักทุเลอยู่ตรงที่ฝนยังตกอยู่ ผู้โดยสารที่ขึ้นมาก็ต้องจัดระเบียบตัวเองกับร่มก่อน พอจ่ายตังค์แล้วก็ต้องเดินผ่านที่กั้นแบบหมุนๆ เพื่อให้นับคนตามที่จ่ายตังค์


 เราก็หันไปสบตาเจ้าหน้าที่เก็บตังค์ร่างบึ้ก หน้าตาประหนึ่งเป็นญาติกับ ยูเซบิโอ เป็นระยะ คือเราเอาแผนที่และจุดที่จะลงให้เขาดูแต่แรก แกก็ชูนิ้วโป้งสถานเดียวว่า โอเค! เดี๋ยวจัดให้ ทีนี้พอคนเริ่มโล่ง ลงจากรถไปเรื่อยๆ เจ้าเบนลองกูเกิ้ลดูก็พบว่าโรงแรมอยู่ห่างออกไปอีกแค่กิโลกว่าแล้วนะ เอาไงกันดี ฉับพลันพี่กระเป๋ารถเมล์ก็พูดขึ้นมาโดยที่อิชั้นแปลออกว่า ''มีใครพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง?'' ต่อด้วยประโยคที่แปลไม่ออกอีกเล็กน้อย


 ว่าแล้วทั้งรถเมล์ก็หันซ้ายหันขวาหารือกันให้ควั่ก ทำให้เรายิ่งรู้ตัวว่านี่หมายถึงกูเป็นแน่แท้ ตายล่ะ! เรื่องเราจะลงป้ายไหน กลายเป็นเรื่องของคนทั้งรถเมล์ไปแล้ว


 แล้วจู่ๆ สาวน้อยนางหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าและเก๊กหน้ามองพวกเรามาหลายครั้งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า ''มีอะไรให้ช่วยมั้ย?'' พี่กระเป๋ารถทำท่าโล่งใจ กูรอดแล้วไรงี้ ว่าแล้วทั้งสองก็สื่อสารกัน โดยอิชั้นเอาแผนที่ให้ดูว่าจะลงตรงนี้เพื่อต่อแท็กซี่นะ ปรากฏว่าเป็นป้ายหน้าพอดี


 รถเมล์จอดอย่างอ้อยอิ่งให้เราค่อยๆ ขนของลงกลางสายฝน ก่อนลงเราเดินแจกยิ้มซ้าย-ขวา ขอบคุณคนเกือบหมดรถ จากนั้นก็แวะถามคนในร้านอาหารตรงป้ายรถเมล์ที่เราลงเพื่อรีเช็คทิศทาง เขาบอกให้เดินตรงไปทางขวาเพื่อหาแท็กซี่ เพราะเดินคงไม่ไหว


 จริงๆ ระยะทางไม่ถึง 2 กิโลเมตรนี่ไม่หนักหนา แต่เผอิญฝนยังไม่หยุด เราข้ามถนนไปรอแท็กซี่ตรงเส้นที่จะวิ่งตรงขึ้นไปอย่างเดียวก็ถึงโรงแรม ปรากฏว่าแท็กซี่มีผู้โดยสารกันทั้งนั้น สุดท้ายมีคนในร้านขายยาแถวที่เรายืนรอรถ ออกมาบอกว่าเดินไปอีกหน่อย ไปรอตรงจุดจอดแท็กซี่จะง่ายกว่า


 ระหว่างเดินไปยังจุดนั้นก็หลบฝนอีกดอกที่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง ยังไม่ทันพูดอะไรถามอะไร สาวน้อยหน้าตาใสกิ๊กอีกคนก็เดินออกมาให้ความช่วยเหลือ เธอฟังออกแค่คำว่า Taxi แล้วถามเราว่าพูดโปรตุกีสได้มั้ย? อิชั้นตอบไปว่า ''มีให้เลือก 3 ภาษา อังกฤษ, สแปนิช, ฝรั่งเศส'' ซึ่งเธอบอกว่า ''ไม่ไหวค่ะ''


 เธอกับเจ้าของร้านช่วยกันหาแท็กซี่ให้เรา ทั้งยืนโบกและหาผ่านแอพฯ ซักพักเราก็ได้รถ เธอยังมีน้ำใจเดินออกมาส่งเราขึ้นรถเพื่อแจ้งกับโชเฟอร์ว่าเราจะไปที่ไหน


 ซักหนึ่งอึดใจ หมดเงินไปแค่ 8 เฮอาอีช เราก็มาถึงที่พัก ฝั่งตรงกันข้าม ยังมีร้านโชห่วยเปิดอยู่ เลยได้ซื้อน้ำซื้อของกินมาเติมพลังด้วย เป็นอีกหนึ่งวันที่เหนื่อยล้า แต่เมื่อมาถึงปลายทาง และนึกถึงน้ำใจของคนที่เจอะเจอตามเส้นทาง ตัวเองได้แต่ยิ้มให้กับเพดานห้องที่พักก่อนหลับตานอนแล้วรำพึงในใจว่า


 "เออแน่ะ! เรื่องดีๆ ก็มีกับเขาเหมือนกัน ไหนจะมีคนช่วย ไหนฮอลแลนด์จะชนะ 5-1 สบายใจจริงโว้ยยย"


 พรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังว่าทำไมเมืองนี้จึงไม่เหมือนรีโอ เด จาเนโร, เซา เปาลู หรือเมืองอื่นๆ และถูกยกให้เป็นเมืองที่มีมาตรฐานการดำรงชีวิตดีที่สุดของแดนแซมบ้าด้วย...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »