ที่เกริ่นมาคือฟุตบอล อุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่นรายการใหญ่ ที่จัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา นามว่า อินเตอร์เนชันแนล แชมเปี้ยนส์ คัพ หรือ ไอซีซี แปรสภาพมาจาก เวิลด์ ฟุตบอล ชาลเลนจ์ ตั้งแต่ปีที่แล้ว

         ดังนั้น เราจะได้เห็น "เกมแดงเดือด" บนดินแดนมะกัน ไม่ต้องรอของจริงในพรีเมียร์ลีก ที่กว่าจะมาถึงก็ปาเข้าไปเดือนธันวาคม และ มีนาคม (ปีหน้าโน่น)

         ฤดูกาล 2014-15 ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูลต่างมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะ ทีมหนึ่งมีการปรับเปลี่ยนผู้จัดการทีม ส่วนอีกทีมมีการโยกย้ายครั้งใหญ่ของนักเตะภายในทีม

         ผีแดงแต่งตั้ง หลุยส์ ฟาน กัล อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติฮอลแลนด์ ที่พาทีมจบอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2014 หมาดๆ และเวลานี้เขาคุมทัพเพียง 11 วัน ก็พาทีมเข้าชิงชนะเลิศรายการแรกแล้ว แม้เป็นแค่เกมอุ่นเครื่องก็ตาม

         สภาพทีมอาจดูไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก มีเพียงได้ 2 นักเตะใหม่ อันเดร์ เอร์เรร่า กองกลางชาวสเปนมาจาก แอธเลติก บิลเบา กับ ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งจาก เซาธ์แฮมป์ตัน

         แต่ที่พลิกโฉมของทีมคือแท็กติกกองหลัง 3 คนและมีวิงแบ็ก ที่นำเข้ามาใช้ และไม่ว่าจะเรียก 3-5-2, 3-4-3, 3-4-1-2 หรือ 3-4-2-1 ก็ไม่หนีไปกว่ากันมากนัก
 

         จึงเป็นการปัดฝุ่นนักเตะเก่าหลายคนที่ดูเหมือนจะหมดอนาคตกับทีม ในยุคของ เดวิด มอยส์ กุนซือคนก่อน และปลุกดาวดังหลายคนให้กลับคืนฟอร์มด้วย

         เกมสุดท้ายกลุ่มเอ ที่ชนะ เรอัล มาดริด 3-1 แอชลี่ย์ ยัง ถูกจับยืนวิงแบ็กด้านซ้าย และยิงไปอีก 2 ประตู หลังกดไป 2 ในเกมอุ่นเครื่องที่ถล่ม แอลเอ แกแล็กซี่ 7-0 (ไม่ใช่รายการนี้)
 

         ยังจึงกลับมามีอนาคตสดใสอีกครั้ง หลังถูก ฟาน กัล ทดลองใช้งานมาแล้วทั้งฝั่งซ้ายและขวา แต่คนที่ดูเหมาะที่สุดกับวิงแบ็กฝั่งขวาคือ อันโตนิโอ วาเลนเซีย

         จากตัวเลขแฟนบอลที่เข้าชมเกมระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เรอัล มาดริด มียอดสูงทะลุหลักแสนคน 109,318 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำลายสถิติเกมฟุตบอล หรือ ซอคเก้อร์ ในสหรัฐอเมริกา

         และยังเป็นตัวเลขสูงที่สุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นต่อหน้าแฟนบอล นับตั้งแต่ปี 1957 ที่พวกเขาบุกไปเยือน เรอัล มาดริด ที่ ซานติอาโก เบร์นาเบว ใน ยูโรเปี้ยน คัพ ด้วย

         คนที่สมควรได้รับเครดิตมากที่สุดในการพา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับสู่จุดนี้ ก็คือ ฟาน กัล ที่ทำให้ทัวร์นาเมนต์นี้ ไม่ใช่แค่เกมอุ่นเครื่อง หรือเรียกความฟิตของลูกทีม

         "แฟนบอลกว่า 3 แสนคนติดตามดูเราอยู่ และตอนนี้เราตบเท้าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศที่ไมอามี่แล้ว ตัวเลขก็จะเพิ่มขึ้นกว่านี้อีก" กุนซือชาวดัตช์วัย 62 ปี กล่าว

         "การถ่ายทอดไปทั่วโลกแสดงให้เห็นประตูแรกที่เกิดขึ้นแล้ว (แอชลี่ย์ ยัง) มันเป็นประตูที่สุดยอดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

         "ผมคิดว่านักเตะทั้งทีมสัมผัสบอลก่อนเป็นประตูด้วย แฟนบอลทุกคนที่เข้ามาในสนามก็เพื่อชมประตูนี้"

         "มันเป็นผลการแข่งขันที่ดีมาก มันทำให้นักเตะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น แม้ผมเปลี่ยนตัวหลายคนในครึ่งหลัง แต่เราก็ยังยิงประตูเพิ่มได้อีก"

         "นี่ไม่ใช่แค่เกมอุ่นเครื่อง ผมมีความรู้สึกว่า เรอัล มาดริด ก็ไม่ต้องการแพ้ นั่นคือสาเหตุที่ โรนัลโด้ ถูกส่งลงสนามเร็วกว่าที่ คาร์โล อันเชล็อตติ คิดเอาไว้"

         "แต่เราก็ชนะและสมควรเป็นทีมชนะ"

         หากรอบชิงชนะเลิศ ฟาน กัล สามารถพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ ไอซีซี ได้สำเร็จ ก็จะทำให้เขาคว้าแชมป์รายการอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่นได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ คุมทีม เหมือนกับสมัยคุมทีมในเยอรมันและฮอลแลนด์

         แต่สำหรับครั้งนี้ ฟาน กัล มองว่าเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนๆ เยอะ และเป็นผลดีต่อวงการฟุตบอลอังกฤษที่จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

         "นี่คือเรื่องดีสำหรับฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก มันเป็นแค่ช่วงเวลาเตรียมทีมก็จริง แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเราชนะ"

         8 คะแนนจากชัยชนะเหนือ โรม่า 3-2, ชนะจุดโทษ อินเตอร์ มิลาน 5-3 หลังเสมอในเวลา 0-0 และชนะ เรอัล มาดริด 3-1 ในกลุ่มเอ จึงเป็นการส่งสัญญาณว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาเป็นทีมเดิมอีกครั้งแล้ว

         ขยับไปดูอีกฟากฝั่ง ลิเวอร์พูล ในยุคทองของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก่อร่างสร้างทีมมาจากฤดูกาล 2012-13 และพลิกโฉมทีมขึ้นมาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มตัวในฤดูกาล 2013-14

         อย่างที่เกริ่นไปว่า ฤดูกาล 2014-15 เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลในทีมขึ้น เมื่อสูญเสียดาวซัลโวตัวเก่ง หลุยส์ ซัวเรซ ไปให้ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวทะลุหลัก 70 ล้านปอนด์ขึ้น
 

         การย้ายมาของ ริคกี้ แลมเบิร์ต กับ ลาซาร์ มาร์โควิช ไม่อาจทดแทนการจากไปของ ซัวเรซ ได้แบบพอดิบพอดี ทำให้ร็อดเจอร์สต้องแก้ปัญหา และอาจต้องปรับแท็กติกจากซีซั่นก่อน
 

         แต่สิ่งที่ได้เห็นกับหงส์แดงในทัวร์นาเมนต์ไอซีซี แทบไม่มีผลกระทบในเชิงลบจากฤดูกาลก่อน แม้ความวูบวาบในเกมรุกจะลดหายไปก็ตาม
 

         8 คะแนนเช่นกันจากชัยชนะเหนือโอลิมเปียกอส 1-0, ชนะจุดโทษ แมนฯ ซิตี้ 3-1 หลังเสมอในเวลา 2-2 และชัยชนะนัดสุดท้ายเหนือ เอซี มิลาน 2-0
 

         แสดงให้เห็นถึงรากฐานและระบบการเล่นที่ถูกวางเอาไว้อย่างแข็ง แกร่ง แม้เสียนักเตะที่ดีที่สุดไป แต่โครงสร้างของทีมไม่ได้เสียตามไปด้วย
 

         อันที่จริงลิเวอร์พูลทราบว่าผ่านเข้าชิงชนะเลิศแน่นอนแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงเล่นเกมกับ มิลาน ด้วยซ้ำ เพราะผลที่จบลงไปก่อน แมนฯ ซิตี้ แพ้จุดโทษต่อโอลิมเปียกอส
 

         นั่นก็หมายความว่า ต่อให้หงส์แดงแพ้ ก็ยังเข้าชิงฯ
 

         สิบเอ็ดคนแรกให้โอกาสตัวสำรองและดาวรุ่งอย่าง เซบาสเตียน โคอาเตส, โคโล่ ตูเร่, มาร์ติน เคลลี่, แจ็ค โรบินสัน, จอร์ดอน ไอบี รวมถึงศูนย์หน้าตัวใหม่ ริคกี้ แลมเบิร์ต ลงตัวจริงทั้งหมด
 

         เพื่อให้ตัวหลักทั้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด, แดเนียล สเตอร์ริดจ์, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, เกล็น จอห์นสัน, มาร์ติน สเคอร์เทล ฯลฯ สมบูรณ์ที่สุดเพื่อนัดชิงชนะเลิศที่ ไมอามี่

         และร็อดเจอร์สก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงรอบชิงชนะเลิศ
 

         "ผมว่าสปอนเซอร์คงจะดีใจ เพราะได้ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 2 ทีมมาเจอกันที่ ไมอามี่"

         "มันจะเป็นเกมนัดชิงฯ ที่ดีแน่นอน เห็นได้ชัดว่า (แมนฯ ยูไนเต็ด) เปลี่ยนระบบการเล่นภายใต้ผู้จัดการทีมคนใหม่ ส่วนเราเป็นทีมที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แน่นอนว่าเราเองก็จดจ่อรอเกมนี้อยู่เช่นกัน"
 

         ต้องรอติดตามชม ศึกแดงเดือด ฉบับอเมริกา รายการนี้ ที่จะลงเตะวันจันทร์ที่ 3 ส.ค. หรือเช้าวันอังคารที่ 4 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย

         นี่อาจเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น แต่สำหรับผู้จัดการทีม นักเตะ และแฟนบอลทั้งสองทีมแล้ว นี่ไม่ใช่แค่เกมอุ่นเครื่องธรรมดาๆ แน่นอน

 รวมเกมแดงเดือด ณ สนามกลาง
        28/04/1894 เกมทดสอบฟุตบอลลีก ลิเวอร์พูล 2-0 นิวตันฮีธ (ชื่อเดิม) อีวู้ด พาร์ค
        21/05/1977 เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1 ลิเวอร์พูล เวมบลีย์
        13/08/1977 แชริตี้ ชิลด์ ลิเวอร์พูล 0-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวมบลีย์
        31/03/1979 เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ลิเวอร์พูล (ต่อเวลา) เมน โร้ด
        04/04/1979 เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแข่งใหม่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ลิเวอร์พูล กูดิสัน พาร์ค
        26/03/1983 ลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล 2-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ต่อเวลา) เวมบลีย์
        20/08/1983 แชริตี้ ชิลด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 ลิเวอร์พูล เวมบลีย์
        13/04/1985 เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ลิเวอร์พูล กูดิสัน พาร์ค
        17/04/1985 เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแข่งใหม่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1 ลิเวอร์พูล เมน โร้ด
        18/08/1990 แชริตี้ ชิลด์ ลิเวอร์พูล 1-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวมบลีย์
        11/05/1996 เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ลิเวอร์พูล เวมบลีย์
        12/08/2001 แชริตี้ ชิลด์ ลิเวอร์พูล 2-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม
        02/03/2003 ลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล 2-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม