ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » 6คำถามที่"บีร็อด"ต้องตอบหลังพาหงส์จบห่วยแพ้1-6

6คำถามที่"บีร็อด"ต้องตอบหลังพาหงส์จบห่วยแพ้1-6

Posted 26/05/2015 by siamsport

 

นักข่าวผู้ดีสุดทนผลงาน ลิเวอร์พูล ตกม้าตายน่าขายหน้าส่งท้ายฤดูกาล ตั้งคำถาม 6 ข้อให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือเก้าอี้ร้อน ตอบให้ได้ ระบุระบบการเล่นเปลี่ยนไปมาจนเฝือ, การเสริมทัพน่ากังขา, ขาดหัวหอกจอมถล่มประตู, ความเชื่อมั่นในตัว "บีร็อด" ของลูกทีม, วืดชิง เอฟเอ คัพ ฯลฯ คือปัจจัยทำจบเห่เร็วเกินคาด

ควันหลงหลังปิดฉากฤดูกาล 2014-15 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างน่าอับอายขายขี้หน้า เมื่อนำทีมบุกไปแพ้ สโต๊ค ซิตี้ อย่างย่อยยับอับปาง 1-6 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา คริสเตียน วอลช์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ลิเวอร์พูล เอ็คโค่ จึงได้ตั้งคำถาม 6 ข้อที่ต้องการให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ต้องเป็นผู้ให้คำตอบว่าเหตุไฉนภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือน ถึงได้นำทัพตกต่ำดำดิ่งอย่างน่าใจหายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ฤดูกาลที่แล้วยังเพิ่งชวดแชมป์เฉียดฉิวด้วยระยะห่างแค่ 2 คะแนนเท่านั้น?! 

ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลด้วยอันดับ 6 พร้อมผลต่างประตูได้เสียเพียง "+4" ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ทีมของ แกรม ซูเนสส์ ทำเอาไว้เท่ากันเมื่อฤดูกาล 1993-94 (ณ เวลานั้น ยังโม่แข้งซีซั่นละ 42 นัด) พร้อมรับสิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นใน ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบคัดเลือก รอบสาม เท่ากับต้องเจอรอบคัดเลือก 2 รอบกว่าจะถึงรอบแบ่งกลุ่มที่จะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของถ้วยเล็กยุโรปได้อย่างแท้จริง

แพ้มโหฬาร 1-6 ให้ "ช่างปั้นหม้อ" หนนี้ ยังถือเป็นการเสียประตูเกิน 5 ลูกในลีกนัดเดียวเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1962 โดย "หงส์แดง" แพ้ด้วยผลต่างประตูมากกว่านี้เพียง 11 เกมตลอดประวัติศาสตร์ 123 ปีของสโมสร อย่างไรก็ตาม ทีมของ ร็อดเจอร์ส ดูเหมือนจะแผ่วปลายมากขึ้นเรื่อยๆ ในลีกช่วง 2 เดือนหลัง นับตั้งแต่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 คารัง แอนฟิลด์ ต่อด้วยบุกไปโดน อาร์เซน่อล สอนบอล 1-4 จนแม้กระทั่งแมตช์อำลา สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซูเปอร์กัปตันทีมผู้เป็นตำนานคนล่าสุดของสโมสร ทั้งเกมเหย้าและเกมเยือน ยังมิอาจช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจอะไรได้เลย!

และนี่คือส่วนหนึ่งของคำถามที่ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (เอฟเอสจี) บริษัทแม่ของสโมสร สมควรต้องเอาไปถามกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ เมื่อถึงเวลาประเมินผลงานในฤดูกาลที่เพิ่งจะจบลงไปนี้

 - ทำไมคุณถึงยอมถอยหลังจาก 3-4-2-1 กลับไปใช้ 4-2-3-1 ทั้งๆ ที่มันไม่เวิร์คเมื่อช่วงต้นฤดูกาล?

ร็อดเจอร์ส สร้างชื่อจากการสรุปบทเรียนความผิดพลาดของตัวเองตลอดช่วง 2 ฤดูกาลแรก ช่วงเวลานั้น ทีมของเขาแพ้ติดต่อกันในลีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ก็แพ้ 2 นัดติดต่อกันจากเกมเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อด้วย เชลซี ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส 2013 แต่ก็พอจะมองได้ว่าแม้ต้องเจอช่วงยากลำบาก 2-3 เดือนแรกในถิ่น แอนฟิลด์ แต่เขาก็ยังรู้วิธีการแก้ปัญหาได้ถูกจุดอย่างค่อนข้างรวดเร็ว

ฤดูกาลนี้เขาแพ้ 2 เกมลีกติดต่อกัน 3 ครั้งด้วยกัน และแพ้ 3 หนซ้อนในเดือนพฤศจิกายนด้วยเช่นกัน นั่นเป็นแนวโน้มที่น่ากังวล และสัญญาณของทีมที่กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่ จะพลิกสถานการณ์กลับมาจากความผิดหวังได้นั้น ย่อมต้องมาจากทั้งสภาพจิตใจของผู้เล่น และกลยุทธ์ของผู้จัดการทีม

ดูเหมือน ร็อดเจอร์ส จะรับมือกับเรื่องนี้ได้ด้วยระบบใหม่ 3-4-2-1 ของเขา ซึ่งอนุญาตให้ผู้เล่นในแดนหน้ามีอิสระมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งยังเคยจับ ราฮีม สเตอร์ลิง ไปยืนเป็นหัวหอกมาแล้วด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ยังทำให้แผงหลังเหนียวแน่นมั่นคงผิดหูผิดตา หลังบุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-3 ในเดือนธันวาคม ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในลีก 13 นัด แถมยังชนะถึง 10 นัด แต่เมื่อมาพลาดท่าแพ้ "ปีศาจแดง" และ "ไอ้ปืนใหญ่" ติดๆ กัน จึงได้เห็นเขากลับไปใช้  4-2-3-1 แบบเดียวกับเมื่อต้นฤดูกาลเสียอย่างนั้น

ระบบที่ไม่กระฉับกระเฉงนี้กลายเป็นว่าพวกเขาต้องเล่นเกมช้าและเปลืองพลังงานมากขึ้น ลิเวอร์พูล เคยอยู่ต่ำถึงอันดับที่ 12 ในเดือนพฤศจิกายน การที่ ร็อดเจอร์ส หวนกลับมาใช้รูปแบบการเล่นดังกล่าว จึงเป็นอะไรที่น่าแปลกใจอย่างมากมาย แม้กระทั่ง 4-4-2 รูปเพชรที่ประยุกต์ใช้กับ สโต๊ค ก็ก่อปัญหาคล้ายๆ กัน ทั้งการโดดเดี่ยวฟูลแบ็ก, ความผิดพลาดในแนวรับ และมิดฟิลด์ลอยขึ้นสูง กองหลัง 3 คนอาจไม่ใช่คำตอบระยะยาว แต่การปรับเปลี่ยนตรงจุดนี้กลับนำไปสู่ปมปัญหาที่มีมากกว่าเดิม

 - ไม่ว่าจะจำกัดความว่ายังไงก็ตาม, นี่คือฤดูกาลที่ต่ำกว่ามาตรฐานสำหรับ ลิเวอร์พูล, ทำไม?

 ร็อดเจอร์ส กลับออกมาจากความพ่ายแพ้ที่มีต่อ แอสตัน วิลล่า ในศึก เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ด้วยคำพูดที่ว่า "จุดที่เราอยู่ตอนนี้, อันดับ 5 และเข้ารอบรองชนะเลิศ 2 ถ้วย ซึ่งน่าจะเท่ากับว่าเราอยู่ในจุดที่เราควรจะอยู่แล้ว" แต่สุดท้ายทั้งๆ ที่มีพลังเงินทุนในการจับจ่ายซื้อหานักเตะมาเสริมทัพ ลิเวอร์พูล กลับจบด้วยอันดับ 6  ไม่ว่าจะมีปัญหาหนักหนายังไงก็ตาม ต้องถือว่านี่คือฤดูกาลที่ผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะประตูที่เสียไปมากมายเกินควร จนถึงขนาดที่มีเสียงเหน็บแนมว่าเขาควรจะมีโค้ชทีมรับมาช่วยงานด้วยเลยทีเดียว

ความจริงคือ ร็อดเจอร์ส ควรจะต้องบรรลุหนึ่งในสามเป้าหมาย: ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ได้สิทธิ์กลับไปเล่นถ้วยใหญ่ยุโรปอีกครั้งในฤดูกาลหน้า หรือชนะเลิศฟุตบอลถ้วยสักหนึ่งรายการ แต่เขากลับทำไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

- ไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ก็ได้, แต่สโมสรระดับนี้ปิดฉากฤดูกาลโดยที่ไม่มีกองหน้าที่คุณ
ไว้วางใจได้เลยได้ยังไง? 

ปัญหาสารพัดกับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ หัวหอกอันดับ 1 ของสโมสร ไม่อาจเพิกเฉยได้ การสูญเสีย 31 ประตูจากการขาย หลุยส์ ซัวเรซ และอีก 21 ประตูที่หายไปจากสนาม โดยที่ต้องไปนอนกองอยู่บนเตียงคนเจ็บนั้น ถือเป็นสถานการณ์ที่ ร็อดเจอร์ส อาจพอจะเอามาใช้ลดหย่อนผ่อนโทษได้บ้าง

แต่ทั้ง ริคกี้ แลมเบิร์ต และ มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่มีค่าตัวรวมกัน 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,040 ล้านบาท) ส่วนแนวรุกทางกราบ, อดัม ลัลลาน่า และ ลาซาร์ มาร์โควิช เพิ่มเข้าไปอีก 43 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,236 ล้านบาท) สำหรับทางเลือกในการทำประตู ระหว่างทั้ง 4 คนดังกล่าว ทำได้รวมกัน 10 ประตูในลีก แม้ตอนที่ สเตอร์ริดจ์ กลับมาฟิต ทั้ง 4 คนก็สมควรจะตอบแทนสโมสรได้มากกว่านั้นอีกอยู่ดี - ยังไม่ได้พูดถึงประตูเดียวของ ฟาบิโอ บอรินี่ ที่กลับมาจากช่วงยืมตัวกับ ซันเดอร์แลนด์ เลยนะเนี่ย! 

 - ทุกคนเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า?

แน่นอนเลยว่า ร็อดเจอร์ส ไม่อาจถูกตำหนิเพียงคนเดียวสำหรับปัญหากองหน้าฟอร์มฝืด การถกเถียงประเด็นที่ว่าใครเป็นคนเซ็นสัญญากับนักเตะคนไหนบ้างเมื่อซัมเมอร์ปีที่แล้วจะดำเนินต่อไปอีก ถ้าไม่เป็นเพราะการขาดความโปร่งใสที่เกี่ยวข้องกับผู้จัดการทีมคนนี้และคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องการซื้อขายนักเตะ  
 

 มันคือข้อกล่าวหาน่ารำคาญเกี่ยวกับธุรกิจการซื้อขายนักเตะในฤดูร้อนปีที่แล้ว และเงื่อนงำที่ไม่ปะติดปะต่อกันระหว่างผู้เล่นที่ถูกนำตัวเข้ามากับความต้องการของ ร็อดเจอร์ส ไม่ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการเลือกเฟ้น และเซ็นสัญญานักเตะก็ตาม การเข้ามาของพวกเขาต้องทำให้ขุมกำลังของทีมดีขึ้นกว่าเดิม - และเหมาะสมกับสิ่งที่ผู้จัดการทีมกำลังพยายามจะทำเพื่อประสบความสำเร็จ

 - ทำไมฤดูกาลของทีมถึงได้จบลงไปดื้อๆ หลังตกรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่เวมบลีย์?

 ฤดูกาลของ ลิเวอร์พูล เริ่มออกทะเลภายในเวลาเพียง 1 เดือน โอกาสคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก แทบจะเลือนราง ก่อนที่จะต้องไปยอมจำนนให้กับความมหัศจรรย์ของ ทิม เชอร์วู้ด ที่ เวมบลีย์ ด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของการ
ตกรอบตัดเชือกครั้งนี้ยังมากมายมหาศาล ทั้งเทพนิยาย เจอร์ราร์ด ไปไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศ ทั้งยังเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำลายทีม ขณะที่ วิลล่า ฉลองกันใหญ่โต ลิเวอร์พูล ยืนแข็งทื่อในสนาม มีแต่ความเศร้าซึมทั่วทั้งทีม บางคนคอตก และบางคนแข็งใจโบกมือขอบคุณแฟนๆ ที่ยังคงไม่ยอมเดินออกไปจากสนาม

นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ลิเวอร์พูล ชนะแค่เกมเดียว และนั่นก็คือการปะทะกับทีมบ๊วยอย่าง ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ด้วยลูกโหม่งประตูชัยท้ายเกมของ เจอร์ราร์ด พวกเขาแพ้กระทั่งทีมที่ตอนนี้ตกชั้นไปแล้วอย่าง ฮัลล์ แถมยังแพ้ คริสตัล พาเลซ ไปด้วย ความพินาศในรัง สโต๊ค จึงยิ่งเจ็บแสบเสมือนหนึ่งเทเกลือยัดใส่ไปในแผลเหวอะหวะ

บุคลิกของทีมนี้ถูกตั้งคำถามเป็นส่วนใหญ่ในซีซั่นนี้ แต่ท่าทีที่เสมือนโยนผ้ายอมแพ้ยิ่งน่ากังวลใจ นี่ไม่ใช่เรื่องของฟอร์มไม่ดีหรือความเบื่อหน่าย หากแต่เป็นการขาดความสามารถในการวินิจฉัยข้อผิดพลาด ร็อดเจอร์ส ไม่
สามารถเลือกนักเตะของเขา และขุมกำลังก็มีคุณภาพปานกลาง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อกังขากันอยู่แล้วด้วยว่านักเตะเชื่อมั่นในตัว ร็อดเจอร์ส มากแค่ไหน

 - คุณจะทำให้มั่นใจได้อย่างไรว่าฤดูกาลหน้าจะไม่ซ้ำรอยฤดูกาลนี้ หรือไม่ก็อาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก?

นี่คือคำถามที่สำคัญมากที่สุด มันสำคัญที่จะต้องเน้นย้ำว่า ร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีมที่ดี ไม่ว่าจะแสลงหูมากเพียงใดหลังแพ้ 1-6 ก็ตาม การสูญเสีย ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ ทำให้เขารับมือได้อย่างยากลำบากในแง่การทำประตู ในขณะที่ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการซื้อขายนักเตะก็ทำให้ยากยิ่งนักในการตัดสินเรื่องการเสริมทัพ

อย่าลืมว่าฤดูกาล 2013-14 ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ สุดยอดก็จริง แต่ยังมีนักเตะอีกหลายคน; โจ อัลเลน, ลูคัส เลว่า, มาร์ติน สเคอร์เทล, ราฮีม สเตอร์ลิง, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ฉายฟอร์มแจ่มต่างกรรมต่างวาระในฤดูกาลนั้น ทั้งหมดนั้นยังมีส่วนพลิกฟื้นฟอร์มของทีมในช่วงต้นปี 2015 ด้วยอีกต่างหาก

ร็อดเจอร์ส ยังต้องรับมือกับการจากไปของ เจอร์ราร์ด เช่นเดียวกับ สเตอร์ลิง ที่งอแงไม่ยอมต่อสัญญา แต่เขาก็ต้องควานหาสูตรสำเร็จที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นอย่างที่เคยเป็นในฤดูกาล 2013-14 ถ้าทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องเฉียบขาดพอที่จะเก็บแต้มให้ได้มากๆ เอาชนะหลายๆ ทีมให้ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเกมเหย้าและเยือน

ร็อดเจอร์ส ต้องค้นหาแนวทางที่จะพลิกฟื้นสโมสรให้กลับมาผงาดอีกครั้งให้ได้ - หากเขายังคงได้รับโอกาสให้คุมทีมต่อไปอีก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • เจ็บจี๊ด!เมอร์สันจวกหงส์พลาดมหันต์ทิ้งสตีวี่จี
    พอล เมอร์สัน อดีตแข้งดังทีมชาติอังกฤษ แรงไม่ใช่เล่นบอก ลิเวอร์พูล โง่เองที่ปล่อย สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีมออกไป ชี้ "สตีวี่จี" เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของพวกเขา และเป็นผู้เล่นระดับเวิลด์ คลาส การทิ้งผู้เล่นแบบนี้ไปทำเอาตนอึ้งไปเลย
  • เอร์นานเดซสะดุ้ง!อาจโดนแบนฐานต่อยโจนส์
    สมาคมฟุตบอลอังกฤษอาจสั่งแบน อาเบล เอร์นานเดซ หัวหอก ฮัลล์ ย้อนหลัง โทษฐานที่เขาเล่นนอกเกมด้วยการต่อยท้อง ฟิล โจนส์ กองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด โดยโทษแบนของเขามีโอกาสอยู่ที่ 3 เกม หรือมากกว่านั้น
  • 10 เกมคลาสสิคพรีเมียร์ลีก
    ฟุตบอลพรีเมียร์ลี ก อังกฤษ ฤดูกาล 2014-15 ปิดฉากลงไปเรียบร้อย ซึ่งก็ได้บทสรุปต่างๆมากพอสมควร ตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของ "สิงห์บลูส์" เชลซี ที่จองล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนจบซีซั่นเกือบหนึ่งเดือน
  • แฟนหงส์กลุ้ม!โอริกี้ติดทีมยอดแย่ลีกเอิง
    ดิว็อค โอริกี้ ศูนย์หน้า ลิเวอร์พูล โดน เลกิ๊ป เลือกติดทีมยอดแย่ของ ลีก เอิง ในซีซั่น 2014-15 หลังทำประตูในลีกได้แค่ 8 ลูกจากการลงสนาม 33 เกม

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »