ปิดฉากศึกใหญ่อีกรายการของทัพ "ช้างศึก"ทีมชาติไทย กับการแข่งขันศึกยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 12-30 ม.ค. 59 ซึ่งเป็นรายการที่รวมยอดทีมจากทั่วทวีปมาคัดหาเพียง 3 ทีมไปแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุง รีโอ เด จาเนโร เดือน ส.ค. ปีนี้ โดยทัพ "ช้างศึก"จับสลากอยู่ในสาย บี ร่วมกับ ทีมซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น และเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นสายที่ถือว่าแข็งโป๊ก เพราะทั้งสามทีมถูกจัดว่าอยู่ในระดับชื่อชั้นที่เหนือกว่า และอันดับต้นๆ ของทวีปเอเชีย

บทพิสูจน์ของทีมชาติไทยที่จะได้รู้ว่าถึงเวลาหรือยังกับการก้าวข้ามคำว่า "ลูกหนังอาเซียน"เพื่อไปยืนอยู่ในระดับทวีปเอเชีย? การเดินทางไปครั้งนี้ ทีมชาติไทยมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งการเก็บตัวที่กิเลน วัลเล่ย์กว่า 10 วัน ก่อนเดินทางไปเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์เริ่มอีกกว่า 10 วัน นี่คือการทำการบ้านเตรียมตัวที่ถูกต้อง เพื่อเป้าหมายอย่างน้อยคือการเข้ารอบสอง

แน่นอนว่าปัญหาและอุปสรรคย่อมมีเสมอ ทีมไทยต้องเจอกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น 10 กว่าองศาฯ ซึ่งถือว่าคนไทยไม่คุ้นเคย ทำให้นักเตะมีอาการป่วยไข้กันไปตามๆ กัน แต่ยังดีที่เตรียมแพทย์ไปด้วย ทำให้ปัญหานี้คลี่คลายลงไปได้

ตามมาด้วยแมตช์อุ่นเครื่องทดสอบทีมก่อนแข่งจริง ที่กว่าทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจะประสานกับตัวแทนที่อยู่โดฮา ติดต่อทีมอุ่นเครื่องได้ก็ลุ้นกันเหนื่อย จนได้ทีมจอร์แดนมาอุ่นเครื่องด้วย ซึ่งทีมชาติไทยก็ทำได้ดีเอาชนะไปได้ 1-0 จากจุดโทษของ "บาส"ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ท่ามกลางกองเชียร์แฟนบอลชาวไทยที่โดฮา ซึ่งขนกันมาเชียร์ให้กำลังใจกันเพียบอย่างอบอุ่น

จากนั้นเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์แข่งขัน ทีมชาติไทยประเดิมลงสนามเกมแรกด้วยชุดสีแดง พบกับ "เศรษฐีน้ำมัน"ซาอุดีอาระเบีย วันที่ 13 ม.ค. 59 ณ สนามแกรนด์ ฮาหมัด ในช่วงเวลา 19.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่ช้ากว่าเมืองไทย 4 ชม. ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวประมาณ 15-18 องศาฯ

ทีมชาติไทยจัดทัพชุดใหญ่เต็มอัตราศึกเพื่อหวังที่จะมีแต้ม รูปเกมทั้งสองทีมผลัดกันบุกอย่างสนุกและสูสี อีกทั้งทาง สมพร ยศ ผู้รักษาประตูของไทยก็เซฟจุดโทษได้อีกด้วย จนกลายเป็นข่าวดังเรื่องของมหาอุด "เสืออุ้มทรัพย์"จนเอเอฟซีสั่งห้ามนำไปห้อยที่ตาข่ายเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นมีปรับเงิน และสุดท้ายเกมก็จบลงด้วยผลเสมอกัน 1-1 จากการยิงของ "จุ๊บ"ภิญโญ อินพินิจ ที่มอบประตูดังกล่าวเป็นของขวัญวันเกิดให้กับพ่อของตัวเองอีกด้วย

ด่านต่อมาแข็งโป๊ก เมื่อต้องเจอกับทีมเต็งแชมป์อย่างทีมชาติญี่ปุ่น วันที่ 16 ม.ค. 59 ที่สนามแกรนด์ฮาหมัด เช่นเดิม เวลา 16.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น เกมนี้ "ซิโก้"มีการปรับทัพจากเกมแรก ต้องพัก เจนรบ สำเภาดี ที่เจ็บกล้ามเนื้อ แล้วให้ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ยืนปีกขวา โยก ปกรณ์ เปรมภักดิ์ จากปีกขวามายืนทางซ้าย และให้ ภิญโญ อินพินิจ ยืนหน้าเป้า เกมที่ออกมาก็เป็นไปตามคาด ที่ญี่ปุ่นซึ่งเหนือกว่าเป็นฝ่ายสร้างความกดดันให้กับนักเตะไทยได้ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะมีโอกาสส่องจุดโทษตีคืน แต่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ก็พลาด สุดท้ายต้านความแข็งแกร่งไม่ไหว พ่ายไป 0-4

ต่อมาถึงเกมชี้อนาคตการเข้ารอบสอง วันที่ 19 ม.ค. 59 ณ สนามแกรนด์ ฮาหมัด เวลา 16.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น พบกับเกาหลีเหนือ ที่เราเคยเสมอมาในรอบคัดเลือก 0-0 ซึ่งทาง "ซิโก้"กุนซือใหญ่ประกาศว่าเปรียบเสมือนนัดชิงชนะเลิศ เนื่องจากต้องชนะสถานเดียว แล้วค่อยไปลุ้นให้ญี่ปุ่นชนะ ซาอุดีอาระเบีย

เกมนี้ทีมชาติไทยมีการปรับทัพสามตำแหน่งจากเกมที่พ่ายญี่ป่น 0-4 ส่ง "ฟาร์ม"สหรัฐ กันยะโรจน์ ลงเล่นแทน ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, "เบนซ์"ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา ลงยืนหน้าแทน เจนรบ สำเภาดี และ "ปิง"ทศวรรษ ลิ้มวรรณเสถียร ลงกลางรับแทน ชญาวัต ศรีนาวงษ์  ทั้งสองทีมเปิดเกมบู๊กันอย่างสนุก ผลัดกันรุกและรับชนิดที่แฟนบอลลุ้นหัวใจจะวายตาย เพราะต่างก็มีโอกาส แม้ว่าเกาหลีเหนือจะดูเหนือกว่าอยู่บ้าง แต่ทีมชาติไทยก็ได้ลุ้นสนุก ก่อนที่จะจบเกมเสมอกันไป 2-2 โดยทีมไทยได้ 2 ประตูจาก "ต้น"นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม และ "กัปตันเจ"ชนาธิป สรงกระสินธ์

จากสกอร์นี้ทำให้ในสาย บี ทีมชาติ ไทย เกาหลีเหนือ และซาอุดีอาระเบีย มีเพียงทีมละ 2 แต้มเท่านั้น ต้องมาวัดกันแบบมินิลีกเฮดทูเฮดซึ่งก็เท่ากันอีก ต้องมาตัดสินกันที่ประตูได้-เสีย ปรากฏว่าผลต่างประตูก็เท่ากัน ทำให้ต้องนับที่จำนวนประตูที่ยิงได้ ผลออกมาเกาหลีเหนือดีสุด ยิงได้ 5 ลูก, ซาอุฯ 4 ลูก และไทย 3 ลูก ทำให้ซาอุดีอาระเบียและไทยจอดอยู่ที่รอบแรกอย่างน่าเสียดาย

ซึ่งหลังจากที่ตกรอบนั้น ทาง "ซิโก้"กุนซือใหญ่ของทีมพอใจกับฟอร์มการเล่นโดยรวมของทีม เพราะถือว่าทุกคนทำเต็มที่และสู้ได้ถึงที่สุด สามารถสู้กับทีมเบอร์ต้นๆ และถูกมองว่าเหนือกว่า และได้เห็นจุดบกพร่องคือเรื่องของความแข็งแกร่ง แรงปะทะ ที่จะต้องไปเพิ่มเติมหากว่าจะก้าวขึ้นมาระดับเอเชีย และได้เรียนรู้แล้วว่า จากนี้ไปทัพ "ช้างศึก"ทีมชาติไทย ไม่จำเป็นต้องกลัวทีมจากตะวันออกกลาง และเกาหลีเหนืออีกแล้ว เหลือเพียงญี่ป่นทีมเดียวที่เรายังต้องพยายามไล่ตามพวกเขาให้ทัน ซึ่งทีมชาติไทยได้พิสูจน์แล้วว่าเรากำลังก้าวไปอย่างมั่นคงและถูกทาง เพียงแต่ทุกคนต้องร่วมมือช่วยกันก้าวไปพร้อมกันทั้งระบบ ณ วันนี้ ในเวทีระดับเอเชียถือว่าเราก็ไม่ได้เป็นรองอย่างที่คิดกันเช่นแต่ก่อนเดินทางมา

ทว่าก็น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเราจะต้องมาตกรอบแรก ด้วยการวัดที่ประตูได้-เสียกับทีมเข้ารอบ ที่มีแต้มเท่ากันเพียง 2 แต้มเท่านั้น...

นี่คือจุดเริ่มต้นของทีมชาติไทย ที่จะก้าวผ่านระดับอาเซียนสู่ทวีปเอเชีย ที่ถือว่าทำการบ้านมาถูกทางแล้วในยุคของ "ซิโก้"เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จากนี้ไปขอเพียงทุกคนช่วยกัน เสียสละเพื่อส่วนรวม ร่วมกันพัฒนาต่อไป สักวันเราก็จะไปถึงฝันแน่นอน เพราะโดยภาพรวมของทัวร์นาเมนต์นี้ สอบผ่านไปอีกขั้นแล้ว...แม้ว่าทัพ "ช้างศึก"ทีมชาติไทยของเราจะตกรอบแรกก็ตาม!!!