ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ฟุตบอลไทย » ล้อมโต๊ะช้างศึก 2002 : ไทยมีโอกาสแค่ไหนในฟุตบอลโลก 2018

ล้อมโต๊ะช้างศึก 2002 : ไทยมีโอกาสแค่ไหนในฟุตบอลโลก 2018

Posted 19/04/2016 by goal.com

อดีตนักเตะทีมชาติไทยชุดเข้ารอบ 10 ทีมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเมื่อปี 2002 ล้อมวงถกกัน ถึงโอกาสในการสร้างประวัติศาสตร์ของช้างศึกรุ่นน้อง

ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย เดินทางมาถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย - และทีมชาติไทยยังอยู่ในการแข่งขัน

แฟน ๆ ช้างศึกกำลังตื่นเต้นกับความสำเร็จที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ พร้อมกับคำถามในใจ ว่า ไทยมีโอกาสไปได้ไกลแค่ไหนในครั้งนี้

โกล ประเทศไทย เชิญอดีตผู้เล่นทีมชาติชุดลุยศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบ 10 ทีมสุดท้าย เมื่อฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือกที่ปัจจุบันเริ่มผันตัวไปเป็นโค้ช มาร่วมกันให้ทรรศนะ - ที่เราเชื่อว่าน่าฟังไม่น้อย

 

เปรียบเทียบทีมชาติไทยชุดนั้น กับชุดนี้ เราพัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน

วรวุฒิ ศรีมะฆะ : พี่ว่ามันก็พอๆกันนะสำหรับทั้งสองชุด ตอนที่พี่เล่นความสามารถของนักเตะมันโอเคเลยนะ แต่ชุดนี้ด้วยระบบลีกที่แข็งแกร่ง เรามีโค้ชต่างประเทศเข้ามา โค้ชฟิตเนสต่างประเทศเข้ามา ทำให้ศักยภาพของนักบอลตอนนี้มันดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความฟิต แต่สมัยพี่นี่คือถ้าติดทีมชาติต้องฝีมือล้วนๆ ร่างกายสำคัญแต่มันก็ไม่ถึงมาก ตอนนี้ร่างกายสำคัญด้วยเพราะว่าฟุตบอลสมัยนี้มันเร็วขึ้น ถ้าภาพโดยรวมพี่ว่าพอกัน

โชคทวี พรหมรัตน์ : ความแตกต่างคือเรื่องระบบกับ สมรรถภาพร่างกายของเด็ก เพราะสมัยใหม่วิทยาศาสตร์การกีฬามันช่วยได้เยอะ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า พอครึ่งหลังเลยไปแล้ว เราสามารถต่อกรกับคู่แข่งได้สบายๆ เรามีจุดเด่นอยู่ตรงนี้ในชุดปัจจุบัน สมัยก่อนเราเล่นกันเพราะแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัวสูง แต่สมรรถภาพทางร่างกาย เราไม่มีวิทยาศาสตร์การกีฬา ลีกก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าปัจจุบัน สมัยใหม่เด็กก็ได้เจอกับนักเตะเกรด เอ ทำให้เด็กเราพัฒนาไปด้วยเลย

เทิดศักดิ์ ใจมั่น : เอาตรงๆ คือชุดที่น้าเล่น บอลไทยยังไม่เป็นอาชีพ เวลาเราเก็บตัวก็เก็บเดือนนึง สองเดือน เพราะว่าบอลลีกเราเตะเร็ว เตะสามเดือนก็จบละ เราได้เก็บตัวนาน มันดีอย่างหนึ่ง นักฟุตบอลได้อยู่กันนาน ส่วนชุดนี้นักฟุตบอลมันเป็นมืออาชีพแล้ว แต่ละทีมมีนักกายภาพ สโมสรดูแลนักเตะเป็นอย่างดี นักเตะก็มีความพร้อม มีความฟิตตลอดเวลา เลยมองว่าสมัยนี้มันก็ดีอย่าง ไม่ต้องไปเก็บตัวเดือนหรือสองเดือน ซึ่งจะไม่กระทบต่อสโมสรด้วย

แต่เด็กๆก็ต้องรับผิดชอบตัวเองในการฝึกซ้อมกับสโมสร ฝึกอย่างเต็มที่ แต่ละทีมในไทยลีก มีนักโภชนาการ มีฟิตเนส นักฟุตบอลก็ลงเล่นอย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพมากขึ้น ถ้าสมัยก่อนรุ่นน้า บอลอาชีพ ไม่มีนักกายภาพ โค้ชปีเตอร์ วิธก็ทำคนเดียว มีผู้ช่วยเป็นพักๆ เสริมกล้ามเนื้อยังไง เสริมความฟิตยังไงก็ไม่รู้ แต่สมัยนี้โชคดีมีทั้งห้องฟิตเนส นักกายภาพมาดูแล สมัยก่อนยาบำรุงเรายังไม่รู้จักเลย อาหารเสริมก็ไม่มี กินแบรนด์โปรตีนเม็ดกันอย่างนั้น (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้มีหลายอย่าง กินอาหารเสริมแล้วสดขึ้น มีทุกอย่าง

อนุรักษ์ ศรีเกิด : สิ่งแรกที่ต้องยอมรับก่อนเลยคือเรื่องความต่อเนื่องของเกมและฟิตเนส อย่างที่เห็นได้ชัดว่านักฟุตบอลชุดนี้มีลีกที่เล่นต่อเนื่อง มันได้ประโยชน์เอาไปใช้งานได้ รวมถึงต้องเจอนักเตะต่างชาติที่มีความสามารถดีๆ หลายคน ทำให้นักเตะพวกนี้รู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่หลากหลายขึ้น ซึ่งต่างจากสมัยก่อน บอลลีกสมัยนั้น 4 เดือนเอง พอลีกจบก็ไปทีมชาติกัน มันได้อย่างเสียอย่าง สมัยก่อนได้เรื่องความสัมพันธ์ในทีม เราเก็บตัวนานๆ แต่เราไม่ได้เล่นเกมที่มีคุณภาพ สมัยนี้ก็ได้จากเกมลีก แต่ก็ถือว่าถี่สำหรับนักกีฬา นักเตะพวกนี้ต้องรู้จักแบ่งตัวเองให้เป็นละ ต้องทำงานละ

สุรชัย จิระศิริโชติ : ทีมชาติไทยชุดปัจจุบัน พัฒนาไปไกลกว่าสมัยก่อนมาก ทั้งเรื่องของความสามารถและเกม ฟุตบอลสมัยใหม่พัฒนาไปค่อนข้างไกล สมัยก่อนฟุตบอลจะช้ากว่า สมัยนี้นักเตะจะมีความฟิตมากกว่า ฟุตบอลสมัยนี้มันจะมีความเร็ว ต้องใช้พละกำลังค่อนข้างเยอะ วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้นักกีฬาปัจจุบันมีสภาพร่างกายที่ดีกว่าสมัยก่อนมาก

คีย์แมนสามคนที่คิดว่าสำคัญที่สุดของทีมชาติไทยยุคนี้

 วรวุฒิ ศรีมะฆะ : สามคนพี่คิดว่า หนึ่ง ต้องเป็นที่ประตู เพราะว่าเราจะหนักไปทางรับเยอะ แล้วก็ข้างหน้ า แล้วก็กองกลาง ตัวผู้รักษาประตู ไม่ว่าจะเป็นตอง(กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์)หรือสินทวีชัย(หทัยรัตนกุล) ก็โอเคสองคน กองกลางที่จริงพี่มองไปถึง ธนบูรณ์(เกษารัตน์) ซึ่งเขาน่าจะมาเล่นตรงกลางจริงๆ ข้างหน้าน่าจะเป็นธีรศิลป์(แดงดา)

โชคทวี พรหมรัตน์ : ผมมองที่เจ้าตอง ที่เป็นประตู ธนบูรณ์ และก็ธีราทร(บุญมาทัน) ที่มองสามคนนี้ เพราะ ผมว่าเราไปเจอกับเกมในรอบ 12 ทีมสุดท้าย มันจะหนักมาก เพราะฉะนั้นในแนวรับเราต้องไม่หลุดสมาธิเลย น้องพวกนี้สามารถช่วยได้ อีกอย่างคือลูกตั้งเตะของเรา โอกาสที่จะได้ประตูจากคู่แข่งสูงมาก จากเจ้าธีราทร เรามีทีเด็ดจากอุ้ม(ธีราทร) เป็นจุดสำคัญของเรา สามคนนี้ขาดไม่ได้ ตองเองก็ช่วยในเรื่องของเกมรับได้เยอะเลย

เทิดศักดิ์ ใจมั่น : อ่า...(คิดนาน) สามคนหรอ มุ้ย(ธีรศิลป์ แดงดา)หนึ่ง แล้วก็... ธีราทร สอง (คิดนาน) คนสุดท้ายปกเกล้า(อนันต์)ละกัน ที่เป็นสามคนนี้ มุ้ยมีประสบการณ์และเก็บบอลได้ดี ไปเล่นกับทีมพวกนี้ เราต้องมีคนเก็บบอลได้ดีและสามารถคอนโทรลบอลได้ในแดนหน้า แดนกลาง ปก(ปกเกล้า) เป็นคนขยัน วิ่งขึ้นลงได้ดี แต่ปกก็ต้องรักษามาตรฐานและคิดว่าเขาน่าจะช่วยทีมได้เยอะ ส่วนอุ้มเขาเป็นคนที่กระหายในการเล่นและกระตุ้นเพื่อนได้ดี และเขาก็มีทีเด็ดในลูกเซ็ตพีซ

อนุรักษ์ ศรีเกิด : ก็คงต้องมองไปที่คนแรกคือ ธนบูรณ์ เป็นแกนหลัก ชนาธิป(สรงกระสินธุ์) ที่เป็นหัวใจของเกม การยืนตำแหน่ง ชนาธิปค่อนข้างจะมีบทบาท และก็ด้านซ้ายอย่าง ธีราทร บอกว่าสามคนนี้เป็นหัวใจของทีมชาติเลย เมื่อไหร่มองทีมชาติก็จะนึกถึงสามคนนี้

สุรชัย จิระศิริโชติ : สำหรับพี่กองหลังก็คือ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ พี่จั๊บมองว่า แม้เขาจะไม่ใช่เซ็นเตอร์อาชีพ เป็นกองกลางที่มายืนเซนเตอร์ แต่เท่าที่พอรู้ เขาก็เคยเป็นกองหลังมาก่อนสมัยเป็นนักเรียน เคยเล่นเซ็นเตอร์มาก่อน สามารถยืนเซ็นเตอร์ได้ดี พี่จั๊บมองว่าเขาคือหัวใจของเกมรับไทยในปัจจุบัน ส่วนแกนกลางคือ สารัช อยู่เย็น ตังค์เคยเป็นลูกทีมพี่สมัยอยู่ภูเก็ต ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุ 18-19 เอง พัฒนาไปมากครับ ยกระดับตัวเองขึ้นมาสูงมาก ปัจจุบันเกมแดนกลาง ถ้าขาดสารัช พี่จั๊บเชื่อว่าเกมจะด้อยลงไปมาก เพราะฉะนั้นเขาคือหัวใจแดนกลางของเกม ส่วนแดนหน้าคือ มุ้ย ธีรศิลป์ ประสบการณ์ของเขาที่สเปน ยกระดับตัวเองขึ้นไประดับหนึ่ง และสามารถช่วยเก็บบอล และช่วยทีมได้ค่อนข้างมาก พี่จั๊บเชื่อว่าสามคนนี้เป็นคีย์แมนของทีมชาติไทยเลย

เปรียบเทียบคู่แข่งของเราในตอนนี้กับตอนนั้น

วรวุฒิ ศรีมะฆะ : พี่ว่าเหมือนกัน อย่างพวกอิหร่านตอนนั้นก็ไปเล่นยุโรปเยอะ ตอนนี้คู่แข่งเราก็น่ากลัว น่าจะน่ากลัวกว่าด้วยมั้ง เพราะออสเตรเลีย หรือ ญี่ปุ่นก็เล่นในยุโรปเกือบหมด

โชคทวี พรหมรัตน์ : ผมว่าไม่แตกต่าง เพราะแต่ละทีมเขาระดับโลกไปแล้ว อย่างญี่ปุ่นเอง หรือ ออสเตรเลีย ไม่ต้องห่วงว่าเราเจอใคร อันนี้เราเจอของจริง เราต้องทำการบ้านให้หนัก

เทิดศักดิ์ ใจมั่น : ปีนี้หนักครับ ตอนน้าเจออะเบา สมัยน้านะถ้าเราเป็นบอลอาชีพแล้ว ถือว่าง่าย ถ้าเป็นบอลอาชีพสมัยนี้แล้วไทยเจอกับคู่แข่งแบบตอนนั้น น้าเชื่อว่าไทยมีโอกาสไปบอลโลกเลย ตอนนั้น ญี่ปุ่น เกาหลีเขาเป็นเจ้าภาพไปแล้ว ก็เหลืออิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย, บาห์เรน, อิรัก มีไม่กี่ทีม แต่สายที่จับเจอตอนนี้มันหนัก ญี่ปุ่น ถ้าพูดตรง ๆ เราเจอแทบไม่รอด ต้องยอมรับว่าเรายังห่างกับเขา ยูเออี ข้อมูลเราก็น้อย อิรักก็พอมีโอกาส แต่เราก็ไม่ได้ขี่เขา ซาอุฯ เราก็ไม่รู้ว่าชุดใหญ่เขาแข็งแกร่งขนาดไหน มันไม่ง่ายที่จะบุกไปชนะซาอุฯ หรือชนะซาอุฯ ในบ้านเรา ไม่มีอะไรแน่นอน สายเราหนักที่สุด

อนุรักษ์ ศรีเกิด : ตอนสมัยพี่เล่น แต่ละทีมจะมีดารา อย่างอิหร่านก็มีอาลี ดาอี ซาอุฯ ก็มีตัวที่เล่นบอลโลกมาก่อน ถ้าเทียบสมัยนี้ ตัวหลักของแต่ละชาติไม่ได้เก่งด้วยความสามารถ มันไปด้วยทีม และทุกชาติที่อยู่ในสายของเรา สังเกตดูว่านอกจากญี่ปุ่นแล้ว ชาติอื่นก็จะไม่มีดาราที่เป็นโดดเด่น แต่เขาก็มีระบบ รูปแบบการเล่นที่ทันสมัย เขารู้จักวิธีการเล่นมากขึ้น

สุรชัย จิระศิริโชติ : ในรอบ 10 ทีมสุดท้ายสมัยพี่จั๊บเนี่ย(2002) เราก็เจอทีมจากตะวันออกกลางเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสายนี้เป็นสายที่หินกว่าอีกสายหนึ่ง พี่จั๊บเชื่อว่าไทยมีโอกาสนะครับ ไม่ใช่ไม่มีโอกาส แต่เกมในบ้าน เราต้องพยายามเก็บสามแต้มให้ได้ จะได้กี่แมตช์เราก็ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ความแข็งแกร่งก็คือเกมในบ้าน คุณก็ต้องเก็บแต้มให้ได้ ส่วนเกมนอกบ้าน พี่จั๊บคิดว่าการไปเก็บได้หนึ่งแต้ม ไม่ว่าจะเป็นเกมไหนก็แล้วแต่ถือว่าเป็นแต้มใหญ่เลย

ตอนที่เคยร่วมทีมกับ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เคยคิดไหมว่าเขาจะมาเป็นโค้ช และทำผลงานได้ดีเหมือนตอนนี้

วรวุฒิ ศรีมะฆะ : พี่คิดว่าซิโก้ก็เหมาะ ด้วยวิธีการวางตัว ชื่อเสียง และอีกอย่างการทำฟุตบอลมันต้องอยู่ที่ดวง ซิโก้เขาได้ตรงดวงนี่ ก็เหมือนตอนปีเตอร์ วิธ มาทำ เขามาตอนที่นักเตะลงตัวพอดี แล้วมาตอนที่ ทีมในย่านนี้ดรอปลง ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทางหมด

โชคทวี พรหมรัตน์ : ก็แล้วแต่โค้ชนะ ปัจจัยอื่นด้วย เด็กรุ่นนี้เก่งมาด้วย เหมือนยุคดรีมทีม เพราะฉะนั้นการทำงานมันจะง่ายขึ้น แล้วปัจจุบันจะมีวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยอีก มันเป็นสิ่งที่ทำให้เด็ก... ขนาดพวกผมนั่งดูยังมันไปด้วยเลย มันเป็นตัวช่วยโค้ชได้เยอะเหมือนกัน

เทิดศักดิ์ ใจมั่น : จริงๆ นักฟุตบอลทุกคน เวลาเล่นฟุตบอลทีมชาติก็มองเป้าที่จะเป็นโค้ช หนีไม่พ้นหรอก ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนจะเดินทางยังไง โก้มันก็เป็นคนที่มีพรแสวง ขยัน ต่อสู้ คือพยายามมาก พยายามคิดทำยังไงให้นักฟุตบอลในทีมเล่นฟุตบอลที่มันสนุก และมีความสุขกับฟุตบอล การเป็นโค้ชกับนักเตะไม่เหมือนกัน เพราะเป็นนักเตะแค่ใส่สตั๊ดลงสนาม แล้วก็ฟังโค้ช แต่ตอนนี้พี่กับโก้ก็เหมือนกัน ต้องดูแลเด็ก ทำให้เด็กกระหายในการเล่นทุกๆแมตช์ อยากเอาชนะเพื่อทีม

อนุรักษ์ ศรีเกิด : ก็ต้องยอมรับว่าซิโก้ สมัยเป็นผู้เล่นเขาเป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้นำในการรวมพลัง เวลาเราล้าๆ เขาให้กำลังใจได้ดี แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะมาเป็นโค้ช เชื่ออย่างหนึ่งว่า เครดิตของซิโก้ คือ ความเป็นมืออาชีพ และความเข้าใจของนักเตะ จุดหนึ่งเลยที่ทำให้ทีมชาติไทยในปัจจุบันเป็นอย่างนี้ เพราะความเข้าใจ นักฟุตบอลต้องการอะไร แล้วก็มีความตื่นตัว เวลาซ้อม ดูคนเล่นเป็นลิง หรือเล่นอะไรที่เป็นกลุ่มเมื่อไหร่ ดูนักเตะทุกคนเข้าใจกันดี อย่างที่พี่เฮงพูดว่าใครมาเป็นโค้ชก็ได้ แต่พี่มองจุดหนึ่งว่า ซิโก้รู้ว่านักฟุตบอลต้องการอะไร ณ เวลานั้น และไอเดียที่ไม่ค่อยเหมือนใครของเขาคือการเปลี่ยนตัวผู้เล่น เมื่อไหร่เปลี่ยนตัวผู้เล่น เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร นี่คือจุดหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เพราะว่าการตัดสินใจ การเปลี่ยนจังหวะเกม

สุรชัย จิระศิริโชติ : ตอนที่เป็นเพื่อนร่วมทีมกัน โก้เขาก็มีความนิ่ง ความสุขุมอยู่ในตัวอยู่แล้ว แล้วก็มีความเป็นผู้นำสูง ซึ่งจุดนี้เขานำมาถ่ายทอดให้กับน้องๆในทีม ให้เด็กๆ มีความสุขุม มีระเบียบวินัย ตรงนี้เขาได้จากตัวซิโก้มามาก ส่วนในเรื่องของการเป็นโค้ช แน่นอนสมัยที่เล่นด้วยกัน เราไม่ได้คาดเดาว่าใครจะสามารถขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชที่ดีในอนาคตได้ แต่ซิโก้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จากความสามารถของเขา แล้วก็ซิโก้มีความเป็นผู้นำ ก็เลยสามารถดึงใจเด็กๆ ได้ ดึงแรงใจเด็กให้เล่นเป็นทีมได้ ถือเป็นจุดเด่นของเขา เขาพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ และถือเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จ เป็นโค้ชที่มีความสามารถสูงมากๆครับ

คิดว่าไทยมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน จะจบที่อันดับเท่าไร

วรวุฒิ ศรีมะฆะ : ในความคิดพี่ การได้ไปบอลโลกรอบสุดท้าย พี่ว่าคงยาก เพราะสองอันดับคืออสเตรเลีย กับ ญี่ปุ่น นี่น่าจะแน่นอนอยู่ละ จะไปจริงๆ เราต้องหวังอันดับ 3 ซึ่งเราต้องแข่งกับ ซาอุฯ และอิรัก ซึ่งอิรักก็เปลี่ยนโค้ช มันน่ากลัวมากขึ้น เพราะโค้ชเก่าบอลยังสไตล์โบราณอยู่ ฉะนั้นเราเข้ารอบ 12 ทีมเป้าหมายคือทำอันดับให้ดีที่สุดมากกว่า ใจพี่พี่คิดว่าจบสักอันดับ 5 ไม่บ๊วยก็โอเคนะ เพราะถ้าเราจะไปฟุตบอลโลกในอีก 12 หรือ 16 ปีข้างหน้า ครั้งนี้เราต้องอย่าบ๊วย ถ้าเราบ๊วยจริงคะแนนเราต้องเท่ากับอันดับ 5

โชคทวี พรหมรัตน์ : ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่เราต้องเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพแบบญี่ปุ่น ซาอุฯ อย่างที่เราไปปรีโอลิมปิก เขาจะมีแม่บ้าน ไปทำอาหาร หรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างเราต้องมี สเกาท์เราต้องมีให้เท่าเขา เราถึงจะไปเทียบเคียงเขาได้ ผมว่าเราสู้ได้นะ แต่ความแข็งแกร่งยังเป็นรอง เราต้องยอมรับความจริง ในเรื่องรูปร่าง หรือระบบ ญี่ปุ่นเขาก็ดี เราต้องมีเกมอุ่นเครื่องกับทีมเก่งๆ ไม่ใช่ในอาเซียน เราต้องไปเห็นว่าเขาเก่งขนาดไหน จะได้มาปรับใช้ พี่ขอไม่คาดเดาอันดับละกัน เด็กเขามุ่งมั่นอยู่แล้ว เราไปติดตามชมเอาเองดีกว่า ยังไงก็ตามเชียร์อยู่แล้ว

เทิดศักดิ์ ใจมั่น : ทำให้ดีที่สุด (หัวเราะ) เอาง่ายๆ ทำให้ดีที่สุด เล่นให้สนุกแค่นั้นเอง ถึงเราจะไม่ได้ไปในคราวนี้ ขอให้มีความหวัง ทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยน้าคิดว่าเราได้เกิน 5 แต้มถือว่าเก่งแล้ว อาจจะไม่จบอันดับสุดท้าย อาจจะแข่งกับอิรัก ข้อมูลยูเออีเป็นยังไง น้าไม่รู้ วิเคราะห์มากก็ไม่ได้ สิ่งสำคัญสุดคือผลสองเกมแรก ถ้าสองเกมแรกเราทำไม่ดี แพ้หมด ใจไป เราบ๊วยแน่ มันต้องดูด้วยว่ายูเออีเล่นเป็นยังไง ซาอุฯ ชุดใหญ่เราก็ไม่รู้

อนุรักษ์ ศรีเกิด : พี่ว่าทีมชาติไทยชุดนี้โชคดีนะที่ได้อยู่ในสายที่แข็ง มีญี่ปุ่น ซาอุฯ ยูเออี มันเกิดงูกินหางได้ ทีมไปตัดแต้มกันเองได้ แล้วเมื่อไหร่เราสามารถเอาชนะอิรัก หรือ ยูเออี ได้ ซาอุฯ เล่นในบ้านเรามีโอกาสชนะได้ พี่เชื่อว่าภาพพวกนี้ทำให้เรามีความหวัง เมื่อไหร่ทีมใหญ่เจอกันเองแล้วเสมอกัน แต่เราชนะทีมที่เราคิดว่าเราชนะได้ แต้มเราโกยได้ ได้สัก 14-15 แต้ม โอกาสที่จะอยู่หนึ่งในสามก็พอลุ้น พี่เชื่ออย่างนึงว่า ถ้าเราเริ่มต้นได้ดี สามแต้มแรกในบ้านได้ โอกาสติดหนึ่งในสาม พี่ว่าทำได้

สุรชัย จิระศิริโชติ : พี่จั๊บเชื่อว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทีมชาติไทยมีโอกาส มาก มาก เลยนะครับ เพราะว่าถึงแม้จะมีเพื่อนร่วมสายที่แข็งแกร่ง แต่ทีมชาติไทยปัจจุบัน ยกระดับทีมขึ้นมาสูงมาก อาจจะเป็นรองยักษ์ใหญ่อย่างออสเตรเลีย หรือ ญี่ปุ่น แต่เชื่อว่า ถ้าลุ้นอันดับ 3 ไทยมีโอกาสมากๆ จะขึ้นไปอยู่อันดับ 3 เพื่อเพลย์ออฟได้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง อย่างแมตช์ช่วงแรก ๆ สำคัญ ถ้าช่วงแรกๆ เก็บแต้มได้ ก็น่าลุ้นยาวๆ พี่จั๊บเชื่อว่ามีโอกาสลุ้นครับ อันดับ 3

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »