ปรีวิวฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

(รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก)

วันพุธที่ 12 เมษายน 2560

บาเยิร์น มิวนิค (เยอรมัน)  -  เรอัล มาดริด (สเปน)

ถ่ายทอดสด : PPTV HD, บีอิน สปอร์ตส์ 1, (เวลา: 01.45 น.)

สนาม : ฟุตบอล อารีน่า มึนเช่น, (มิวนิค, เยอรมัน)

        "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้การคุมทัพของ คาร์โล อันเชล็อตติ เทรนเนอร์คนดังชาวอิตาเลี่ยน ระเบิดฟอร์มแกร่งอีกครั้งด้วยการเปิดบ้านถล่ม ดอร์ทมุนด์ 4-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผงาดนำจ่าฝูงบุนเดสลีกา โดยมีแต้มเหนือกว่า แอร์เบ ไลป์ซิก รองจ่าฝูงถึง 10 คะแนน

        ส่วนผลงานในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนั้น ไล่ถล่ม อาร์เซน่อล 5-1 ทั้งเหย้า-เยือน รวมผลสองนัด เสือใต้ ผ่านเข้ารอบมาด้วยสกอร์รวมขาดลอย 10-2

        สภาพทีมเกมนี้ บาเบิร์น มิวนิค ต้องปราศจาก มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวกลั่นวัย 28 ปี ที่เจ็บข้อเท้าในระหว่างการฝึกซ้อมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา

        นอกจากนั้นพวกเขาต้องรอเช็คสภาพร่างกายของโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้าตัวเก่งทีมชาติโปแลนด์ ที่เจ็บไหล่มาจากเกมชนะโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนลงซ้อมไม่ได้ในวันอาทิตย์และวันจันทร์ที่ผ่านมา

        ข่าวดีคือได้ มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันหายเจ็บเท้า พร้อมกลับมาเฝ้าเสา แม้ยังแยกซ้อมในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ โธมัส มุลเลอร์ ซึ่งหายเจ็บข้อเท้า กลับมาซ้อมแล้ว พร้อมเป็นตัวเลือก รวมทั้งได้ ฟิลิปป์ ลาห์ม พ้นแบนในถ้วยนี้กลับมาประจำการแบ็กขวาอีกครั้ง

        ในแดนกลางให้ ชาบี อลอนโซ่ เชื่อมเกมกับ อาร์ตูโร่ วิดาล แผงรุก อาร์เยน ร็อบเบน, ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ ฟร้องค์ ริเบรี่ โดยหน้าเป้ายังเป็น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่พร้อมล่าประตูแม้เจ็บไหล่เล็กน้อยจากเกมล่าสุด แต่หากไม่พร้อมจริงๆ ทาง โธมัส มุลเลอร์ พร้อมสอดแทรกลงแทน

        ข้ามมาดู "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ของ ซีเนดีน ซีดาน สะดุดเสมอ แอตเลติโก มาดริด 1-1 ในศึก "มาดริด ดาร์บี้" หยุดสถิติชนะรวดในลีกที่ 5 นัด แต่ยังรั้งจ่าฝูงทิ้งห่าง บาร์เซโลน่า เป็น 3 แต้มแถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด พร้อมทำสถิติโลกในการพังประตูต่อเนื่องเป็นนัดที่ 52 ติดต่อกันแล้ว

        สำหรับผลงานในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ทาง เรอัล มาดริด ฝ่าด่าน นาโปลี ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาได้ด้วยสกอร์รวมสองนัด 6-2 โดยชนะด้วยสกอร์ 3-1 ทั้งเหย้าและเยือน

        ความพร้อมเกมนี้ ราชันชุดขาว ต้องขาด เปเป้ ปราการหลังจอมเก๋าที่เจ็บหนักซี่โครงร้าวสองซี่จากเกมเปิดบ้านเสมอกับแอตเล ติโก มาดริด 1-1 คาดว่าต้องพักยาวราวสองเดือน รวมไปถึงไม่มี ราฟาแอล วาราน เซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติฝรั่งเศส ที่เจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง และ ฟาบิโอ โคเอนเตรา แบ็คชาวโปรตุกีส ที่ยังไม่สมบูรณ์

         แนวรับจากขวาไปซ้ายเป็น ดาเนียล การ์บาฆาล, เซร์คิโอ รามอส, นาโช่ เฟร์นานเดซ และ มาร์เชโล่ ส่วนแดนกลางวาง คาเซมีโร่ ผนึกกำลังกับ ลูก้า โมดริช และ โทนี่ โครส

        3 ประสานแดนหน้าจัดจ้านอันตรายทั้ง แกเร็ธ เบล, คาริม เบนเซม่า และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงกระซวกตาข่าย

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะได้ลงสนาม

        บาเยิร์น มิวนิค : มานูเอล นอยเออร์ - ฟิลิปป์ ลาห์ม (กัปตันทีม), ฆาบี มาร์ตีเนซ, เยโรม บัวเต็ง, ดาวิด อลาบา - ชาบี อลอนโซ่, อาร์ตูโร่ วิดาล - อาร์เยน ร็อบเบน, ติอาโก้ อัลกานตาร่า, ฟร้องก์ ริเบรี่ - โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (โธมัส มุลเลอร์)

        เรอัล มาดริด : เคย์ลอร์ นาวาส - ดาเนียล การ์บาฆาล, เซร์คิโอ รามอส (กัปตันทีม), นาโช่ เฟร์นานเดซ, มาร์เชโล่ วิเอยร่า - โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช - แกเร็ธ เบล, คาริม เบนเซม่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้

        ผู้ตัดสิน : ริคาร์โด ดิ ฟิโอเร่ (อิตาลี)

เกร็ดข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
- นี่เป็นครั้งที่ 23 ในยูโรเปี้ยน คัพ/ชปล. ที่บาเยิร์นเจอเรอัล มาดริด และเป็นครั้งที่ 17 ในยุคแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสถิติของรายการนี้
- บาเยิร์น มิวนิคและเรอัล มาดริด มีผลงานเท่ากันในการเจอกันรอบน็อกเอาต์ ยูโรเปี้ยน คัพ/ชปล. โดยต่างชนะฝั่งละ 5 ครั้ง
- เรอัล มาดริดแพ้ 9 จาก 11 เกมที่เยือนบาเยิร์นในถ้วยยุโรป (ชนะ 1 เสมอ 1) แต่ชนะในหนล่าสุดที่เยือนอัลลิอันซ์ อารน่า ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้คารังมากที่สุดในถ้วยยุโรปของบาเยิร์นด้วย (4-0)
- บาเยิร์นผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายชปล. เป็นฤดูกาลที่ 6 ติดต่อกัน ความจริงแล้ว ตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา พวกเขาผ่านเข้ารอบรองฯ ได้ตลอด
- บาเยิร์นชนะรวด 16 เกมชปล.หลังสุดในบ้าน (ได้ 58 เสีย 9) เป็นผลงานชนะติดต่อกันมากที่สุดของรายการ โดยทีมสุดท้ายที่บุกชนะพวกเขาคือ เรอัล มาดริด เมื่อเมษายน 2014 (0-4)
- ไม่มีเกมไหนใน 10 เกมชปล.หลังสุดของบาเยิร์น ที่จบลงด้วยผลเสมอ (ชนะ 7 แพ้ 3) โดยหนล่าสุดที่เสมอเป็นเกมกับเบนฟิก้า เมื่อเมษายน 2016 (2-2)
- บาเยิร์นทำได้ 24 ประตูในชปล. ฤดูกาลนี้ รวมถึง 10 ประตูจาก 2 เกมหลัง (พบอาร์เซน่อล) อย่างไรก็ตาม พวกเขาเก็บคลีนชีตได้แค่ครั้งเดียวจาก 7 เกมหลัง
- บาเยิร์นมีค่าเฉลี่ยครองบอล 70% มากที่สุดในชปล. ฤดูกาลนี้ และเป็นเจ้าของสถิติครองบอลมากที่สุด ทุกฤดูกาลนับตั้งแต่ซีซั่น 2013-14
- นี่เป็นฤดูกาลที่ 20 ติดต่อกันที่เรอัล มาดริดลงเล่นรอบน็อกเอาต์ ชปล. เป็นสถิติของรายการ และพวกเขาผ่านเข้ารอบรองฯ ตลอด 6 ฤดูกาลหลัง
- เรอัล มาดริด (ร่วมกับยูเวนตุส) เป็น 2 ทีมที่ยังไม่แพ้ใครในชปล. ฤดูกาลนี้ และแพ้แค่ครั้งเดียวจาก 10 เกมหลังสุดรอบน็อกเอาต์ (ชนะ 6 เสมอ 3) จากเกมพบโวล์ฟสบวร์ก เมื่อเมษายน 2016 (0-2)
- เรอัล มาดริดยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูตลอด 8 เกมชปล. หลังสุด อย่างไรก็ตาม พวกเขาเสียประตูทุกนัดในช่วงดังกล่าวเช่นกัน
- ตัวสำรองของเรอัล มาดริด ทำประตูได้มากที่สุดในชปล. ฤดูกาลนี้ จากจำนวน 5 ประตู (3 จากจำนวนดังกล่าวได้จาก อัลบาโร่ โมราต้า)
- โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยิงประตูได้ตลอด 3 เกมชปล.หลังสุด แต่ไม่เคยยิงได้ 4 เกมซ้อนในรายการนี้ โดยเขาทำ 15 ประตูจาก 13 เกมชปล.หลังสุดที่อัลลิอันซ์ อารีน่า ซึ่งเกมเดียวที่ยิงไม่ได้ เป็นการพบเบนฟิก้า เมื่อเมษายน 2016
- คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงไม่ได้ใน 613 นาทีหลังสุดที่เล่นชปล. เป็นผลงานแย่ที่สุดของตัวเอง นับตั้งแต่ยิงไม่ได้ 613 นาทีสมัยอยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อพฤษภาคม 2008 ถึงมีนาคม 2009 และไม่มีครั้งไหนจากโอกาสยิง 33 ครั้งหลังสุดของเขาที่ตุงตาข่าย
- 6 ประตูหลังสุดในชปล.ของ เซร์คิโอ รามอส เกิดขึ้นในรอบน็อกเอาต์ ชปล. ทั้งหมด รวมถึง 2 ลูกโหม่งในเกมกับบาเยิร์น ที่อัลลิอันซ์ อารีน่า เมื่อเมษายน 2014 ถ้าเขาลงสนาม จะเป็นเกมที่ 99 ของเขาในรายการนี้