โรเมลู ลูกากู กองหน้า เอฟเวอร์ตัน มีแนวโน้มที่จะได้กลับมาค้าแข้งให้ เชลซี อีกรอบในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังเจ้าตัวแย้มว่า มีต้นสังกัดใหม่อยู่ในใจแล้ว ซึ่งไม่น่าจะพ้นกับการกลับไปประจำการตำแหน่งหัวหอกที่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แทน ดีเอโก้ คอสต้า ดาวยิงทีมชาติสเปน ที่หมดอนาคตกับทีมแล้ว

        หัวหอกทีมชาติเบลเยียม ย้ายจาก "สิงโตน้ำเงินคราม" ไปอยู่ในถิ่น กูดิสัน พาร์ค ด้วยค่าตัว 28 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,260 ล้านบาท) เมื่อปี 2014 ก่อนซัดกระจายไปถึง 71 ประตูในทุกรายการกับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

         ขณะที่ "สปอร์ตสกีด้า" เว็บไซต์ลูกหนังดังวิเคราะห์ 5 เหตุผลที่ดาวยิงวัย 24 ปี ควรย้ายกลับไปล่าตาข่ายให้ เชลซี อีกครั้ง ดังนี้

 1.) พิสูจน์ตัวเองใน พรีเมียร์ลีก แล้ว

         พรีเมียร์ลีก มักไม่ใช่ลีกที่เหมาะกับศูนย์หน้าที่ย้ายมาจากลีกอื่น ตัวอย่างเช่น เฟร์นานโด มอริเอนเตส, โรเบร์โต้ โซลดาโด้, ราดาเมล ฟัลเกา และ อังเดร เชฟเชนโก้ ที่ต่างล้มเหลวในลีกผู้ดี แน่นอน หลุยส์ ซัวเรซ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ อาจเป็นข้อยกเว้น แต่ทุกครั้งที่นักเตะย้ายมาค้าแข้งในลีกอังกฤษ หลังจากประสบความสำเร็จในลีกอื่น มันเป็นความเสี่ยงเสมอ

         แต่ ลูกากู พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถรับมือการความแข็งแกร่งที่เน้นการปะทะของร่างกาย และสไตล์การเล่นที่รวดเร็วใน พรีเมียร์ลีก ได้อย่างไร้ปัญหา และ เชลซี ควรตบเกียร์เดินหน้าซิวหัวหอก เอฟเวอร์ตัน มาเสริมแนวรุกมากกว่ากองหน้ารายอื่นที่ตกเป็นข่าวอย่าง อันเดรีย เบล็อตติ และ อัลบาโร่ โมราต้า

2.) เป็นศูนย์หน้าตามแบบฉบับที่ เชลซี ต้องการ

         ดีเอโก้ คอสต้า และ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ต่างเป็นกองหน้าขวัญใจของสาวก "สิงห์บลูส์" ด้วยความมุ่งมั่น, ความเป็นผู้นำ, หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ และแน่นอนการยิงประตูถล่มทลาย ซึ่ง ลูกากู ดูเหมือนเป็นหัวหอกที่สมบูรณ์แบบในการสืบทอดเสื้อหมายเลข 9 ของ เชลซี จากการที่ครบเครื่องทั้งความแข็งแกร่ง, ร่างกายสูงใหญ่, สปีดฝีเท้าจัดจ้าน และสัญชาติในการจบสกอร์ไม่เป็นสองรองใคร

3.) มีกุนซือที่ชื่อ อันโตนิโอ คอนเต้

         ด้วยวัย 24 ปี ลูกากู อยู่ในช่วงเฉิดฉายในอาชีพค้าแข้ง ซึ่งการพัฒนาฝีเท้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในดาวยิงระดับโลก เขาต้องยกระดับความเฉียบคมและจรรยาบรรณในการเล่น หากต้องการเติมเต็มศักยภาพของตัวเอง

         ด้วยระบบการเล่นไม่ว่าจะเป็น 3-4-3 หรือ 3-5-2 ของ คอนเต้ กองหน้าของเขาจะได้รับอิสระในการเล่นมากขึ้น ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ ลูกากู ได้ใช้พรสวรรค์ในฝีเท้าเข้าโจมตีคู่แข่งโดยไม่ต้องกังวลถึงการถอยลงมาช่วยเกมรับ และด้วยการแก้เกมที่สามารถพลิกโฉมหน้าของเกมได้อย่างที่ต้องการ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แท็กติกของ คอนเต้ ยอดเยี่ยมไม่น้อยหน้าใคร

4.) งานกับ เชลซี ยังไม่จบ

         ตั้งแต่ย้ายมาซบ เชลซี เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2011 ลูกากู ใช้เวลาส่วนใหญ่ในฤดูกาลแรกกับการลงเล่นให้ทีมสำรอง ก่อนถูกปล่อยตัวให้ เวสต์บรอมวิชฯ และ เอฟเวอร์ตัน ยืมตัวใช้งาน และยิงให้ต้นสังกัด 17 และ 16 ประตู ตามลำดับ แต่นั่นยังไม่สามารถทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชื่อมั่นในตัวเขา และถูกปล่อยให้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" แบบถาวรในปี 2014 จากการที่ โชเซ่ มูรินโญ่ มองว่า คอสต้า เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

         หลังจาก เชลซี คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2012 ลูกากู ปฏิเสธที่จะชูถ้วย เนื่องจากรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการคว้าแชมป์ครั้งนี้ และการหวนกลับมาล่าตาข่ายให้อดีตต้นสังกัดอีกครั้งเป็นโอกาสดีที่จะกลับมาสานงานต่อให้จบ และพิสูจน์ให้ อังเดร วิลลาส-โบอาส และ มูรินโญ่ 2 อดีตกุนซือ เห็นว่าทั้งคู่คิดผิดที่ไม่ให้โอกาสเขาลงสนาม

5.) การแย่งชิงตำแหน่งในทีมชาติ

         การย้ายไปค้าแข้งในลีกอื่น อาทิ จีน, สหรัฐอเมริกา หรือลีกอื่นๆ อาจส่งผลให้ถูกกุนซือทีมชาติมองข้าม และจากการคู่แข่งขับเคี่ยวชิงตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติเบลเยียม ทั้ง คริสติย็อง เบนเตเก้, ดิว็อค โอริกี้ และ มิชี่ บาตชูอายี่ ต่างค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก ลูกากู มีโอกาสสดใสที่จะยึดตำแหน่ง 11 คนแรก โดยการโชว์ฝีเท้าในลีกผู้ดีต่อไป และลงเล่นให้กับหนึ่งในทีมชั้นนำของลีก

         นอกจากนั้น จากการที่เวลานี้ ติโบต์ กูร์กตัวส์, เอแด็น อาซาร์ และ บาตชูอายี่ 3 เพื่อนร่วมชาติ ต่างค้าแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ มันจะส่งผลให้ ลูกากู รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเมื่ออยู่ในห้องแต่งตัวของ เชลซี อีกด้วย