หากพูดถึง เรอัล มาดริด แล้วนั้น แฟนบอลหลายคนก็คงนึกถึงเรื่องที่พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม อย่างเช่นการได้แชมป์ลีก 33 ครั้ง, แชมป์ โกปา เดล เรย์ 19 หน และ แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 13 ครั้ง ซึ่งความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของ "ราชันชุดขาว" ในช่วงนี้ก็คือการได้ถ้วย "บิ๊กเอียร์" ถึง 4 ครั้งจาก 5 ซีซั่นหลังสุด
   แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จดังกล่าวก็ต้องยกให้เป็นเครดิตของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานของทีมที่บริหารทีมได้อย่างน่าประทับใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่า เปเรซ มีคำสาปอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือนับตั้งแต่ที่ไม่ได้ใช้ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เป็นเทรนเนอร์ของทีมแล้วนั้น มันก็ไม่มีกุนซือคนไหนในยุคของเขาอีกเลยที่พาทีมได้แชมป์ลีกตั้งแต่ฤดูกาลแรกกับทีม

    ทั้งนี้ วันนี้เราจะมาย้อนดูผลงานในฤดูกาลแรกกับ เรอัล ของกุนซือเหล่านั้นกัน โดยต้องขอชี้แจงก่อนว่าเรานับตั้งแต่ตอนที่แต่ละคนเข้ามารับงานกับทีมเลย ไม่ว่าจะเป็นก่อนเริ่มฤดูกาล หรือช่วงกลางซีซั่น

    - คาร์ลอส เคยรอช (ฤดูกาล 2003-04)

    หลังจากแยกทางกับ เดล บอสเก้ ซึ่งพาทีมประสบความสำเร็จได้มากมาย เปเรซ ก็ตัดสินใจเอา เคยรอช มากุมบังเหียนทีม หลังจากที่เขาทำผลงานได้โดดเด่นกับการเป็นมือขวาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งหลายคนก็เชื่อว่า เคยรอช พร้อมสำหรับการเป็นกุนซือเองบ้างแล้ว

    น่าเสียดายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่า เรอัล ในยุคของ เคยรอช จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 4 ของตารางคะแนน ส่วนความสำเร็จเดียวของเขากับทีมคือแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์คัพ และสุดท้าย เคยรอช ก็โดนเด้งออกจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2004

    - โฆเซ่ อันโตนิโอ กามาโช่, มาเรียโน่ การ์เซีย เรม่อน และ วันเดอร์เล่ ลุกชอมบูร์โก้ (ฤดูกาล 2004-05)

    กามาโช่ ถูกดึงเข้ามาคุมทีมด้วยความคาดหมายว่าจะพา เรอัล กลับมาทำผลงานได้ดี แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลวกับทีมจนลาออกจากตำแหน่งในช่วงเดือนกันยายน 2004 โดยที่ เรม่อน ผู้ช่วยของเขาถูกดันขึ้นมารับงานต่อ แต่ เรม่อน ก็ไปไม่รอดและโดนเด้งในช่วงเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน

    หลังจากนั้น เปเรซ ก็ตัดสินใจเอา ลุกชอมบูร์โก้ มากอบกู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้น่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่สุดท้าย เรอัล ก็แพ้ บาร์เซโลน่า 4 คะแนน ทำให้คำสาปการร้างแชมป์ลีกของกุนซือคนใหม่ในยุคของ เปเรซ ดำเนินต่อไป ส่วนตัว ลุกชอมบูร์โก้ ตกงานในซีซั่นต่อมา

    - ฆวน ราม่อน โลเปซ กาโร (ฤดูกาล 2005-06)

    การปลด ลุกชอมบูร์โก้ ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2005 ทำให้ เรอัล ต้องมองหากุนซือคนใหม่โดยด่วน จนสุดท้าย เปเรซ ก็ตัดสินใจดัน กาโร ซึ่งเป็นกุนซือของทีมสำรอง ให้มารับหน้าที่คุมทีมชุดใหญ่

    ทั้งนี้ กาโร เปิดตัวได้น่าผิดหวัง เพราะเขาพาทีมแพ้ โอลิมเปียกอส 1-2 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะพาทีมจบซีซั่นด้วยการเป็นอันดับสอง ในสภาพที่ตามหลัง บาร์เซโลน่า 12 คะแนน และสุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งต่อ นั่นรวมถึง เปเรซ ด้วย เพราะเขาประกาศลาออกจากตำแหน่งเพราะมองว่าทีมจำเป็นต้องเดินไปในทิศทางใหม่

    - มานูเอล เปเยกรีนี่ (ฤดูกาล 2009-10)

   เปเรซ กลับมาเป็นหัวเรือใหญ่ของ เรอัล อีกครั้ง และการรีเทิร์นหนนี้เขาก็สร้างความฮือฮาสุดๆ ด้วยการดึงนักเตะชื่อดังมาร่วมทีมหลายคน อย่างเช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ริคาร์โด้ กาก้า, คาริม เบนเซม่า และ ชาบี อลอนโซ่ เป็นต้น ส่วนตัวกุนซือนั้น เขาก็ไว้วางใจให้ เปเยกรีนี่ เป็นผู้พาทีมไล่ล่าแชมป์

    น่าเศร้าที่ผลลัพธ์มันเต็มไปด้วยความผิดหวัง เพราะนอกจากจะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของ แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้วนั้น เรอัล ยังได้แค่ที่สองในลีกด้วย ทำให้คำสาปยังคงลามมาถึงยุคใหม่ของ เปเรซ ส่วนชะตากรรมของ เปเยกรีนี่ คือการตกงานในเดือนพฤษภาคม ปี 2010

    - โชเซ่ มูรินโญ่ (ฤดูกาล 2010-11)

    มูรินโญ่ คือกุนซือที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการประสบความสำเร็จ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ เปเรซ จะเอาเขามาคุมทีมต่อจาก เปเยกรีนี่ และเป้าหมายของทีมก็คือคว้าแชมป์ลีกมาครองให้ได้ หลังจากไม่เคยได้สัมผัสกับมันอีกเลยนับตั้งแต่ซีซั่น 2007-08

    น่าเสียดายที่ขนาดระดับ มูรินโญ่ ก็ยังไม่ได้แชมป์ลีกตั้งแต่ซีซั่นแรกกับ เรอัล โดยในฤดูกาลนั้นเขาพาทีมได้แชมป์ โกปา เดล เรย์ แค่รายการเดียว ส่วนในลีกทีมของเขาจบด้วยการเป็นอันดับ 2 และถึงแม้เขาจะช่วยให้ "ราชันชุดขาว" ได้แชมป์ลีกในซีซั่นต่อมา แต่สุดท้ายตอนจบของเขากับทีมคือการต้องบอกลาถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013

    - คาร์โล อันเชลอตติ (ฤดูกาล 2013-14)

   เมื่อพูดถึงชื่อของ อันเชลอตติ หลายคนก็รู้ดีว่านี่คือหนึ่งในยอดกุนซือของโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน ความสำเร็จอันล้นหลามของเขาถือเป็นเครื่องการันตีฝีมือของเขาได้ดี และทำให้ เปเรซ เชื่อว่าชายคนนี้จะทำให้ทีมกลับมาครองแชมป์ลีกได้อีกครั้ง

    อย่างไรก็ตาม คำสาปของ เปเรซ ก็รุนแรงจนแม้แต่ อันเชลอตติ ก็ยังเอาชนะไม่ได้ แถมในซีซั่นนั้น เรอัล ถึงขั้นจบลีกด้วยการเป็นอันดับ 3 ด้วย แต่กุนซือชาวอิตาเลียนก็ยังได้รับคำยกย่องอย่างล้นหลามอยู่ดี จากการที่ช่วยให้ทีมได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครอง

    - ราฟาเอล เบนิเตซ และ ซีเนดีน ซีดาน (ฤดูกาล 2015-16)

   หลังจากที่แยกทางกับ อันเชลอตติ เปเรซ ก็ตัดสินใจที่จะให้ เบนิเตซ มาเป็นนายใหญ่ของทีม ซึ่งนั่นถือเป็นการเลือกที่ทำให้บางคนแปลกใจพอตัว

    และสุดท้ายมันก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เบนิเตซ พาทีมทำผลงานได้ไม่ตรงตามที่ เปเรซ หวังเอาไว้ ส่งผลให้เขาโดนเด้งออกจากตำแหน่งตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม ปี 2016 ก่อนที่ ซีดาน จะเข้ามารับงานต่อ ซึ่งที่จริงกุนซือชาวฝรั่งเศสก็เกือบจะลบล้างคำสาปของ เปเรซ ได้แล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้เหมือนกัน หลังจาก เรอัล จบซีซั่นด้วยการเป็นอันดับ 2 ในสภาพที่แพ้ บาร์เซโลน่า ไปแค่แต้มเดียว อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนั้น ซีดาน ก็พาทีมซิวแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้

    จากเรื่องดังกล่าว จะเห็นได้ว่าคำสาปด้านนี้ของ เปเรซ มันแรงพอตัว ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จูเลน โลเปเตกี กุนซือคนใหม่ของ เรอัล จะลบคำสาปนี้ได้หรือไม่