ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ไม่เคยมีทีมฟุตบอลชายทีมไหนมาก่อนที่ได้แชมป์ในฤดูกาลเดียว 4 รายการขึ้นไป อย่างดีที่สุดคือการเป็น "ทริปเปิ้ลแชมป์" ขณะที่ถ้านับทั่วทวีปยุโรปแล้วนั้น ทีมล่าสุดที่ได้ 4 แชมป์แบบมีแชมป์ใหญ่รวมอยู่ด้วยภายในซีซั่นเดียวคือ เรอัล มาดริด ชุดฤดูกาล 2016-17

นั่นคือความสำเร็จที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดนี้กำลังไล่ล่าอยู่ พวกเขาซิวแชมป์ คาราบาว คัพ ไปครองได้ก่อนแล้ว ขณะที่ เอฟเอ คัพ ก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ต้องเจอกับ วัตฟอร์ด ซึ่งไม่ใช่คู่แข่งที่ยากเกินไป ส่วนในลีกก็ยังมีโอกาสดีที่จะป้องกันแชมป์ได้ เพราะถึงแม้จะตามหลัง ลิเวอร์พูล 2 แต้ม แต่พวกเขาก็ลงเล่นน้อยกว่าอีกฝ่าย 1 นัด

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือเส้นทางที่หลายคนมองว่ายากลำบากที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะในนัดแรกของรอบก่อนรองชนะเลิศ ทีมของกุนซือ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ก็แพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปแล้ว 0-1 ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" เสียเปรียบพอประมาณในการลงเล่นนัดสอง

จริงอยู่ว่า แมนฯ ซิตี้ มีนักเตะเก่งๆ หลายคนอยู่ในทีม อย่างเช่น เซร์คิโอ อเกวโร่ และ ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นต้น แต่การจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษที่คว้าแชมป์มาครองได้ 4 รายการภายในฤดูกาลเดียวนั้น มันจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากนักเตะทุกคน น่าเศร้าที่ตอนนี้มีบางคนที่ทำผลงานได้น่าผิดหวัง และพวกเขาเหล่านั้นก็จำเป็นต้องยกระดับของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ถ้าหวังจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จระดับตำนานในฤดูกาลนี้

    - กาเบรียล เชซุส
ทีมชั้นยอดควรจะต้องมีกองหน้าเก่งๆ อยู่ในทีมอย่างน้อย 2 คน เพราะถ้าเกิดวันไหนคนใดคนหนึ่งเกิดเจ็บ หรือฟอร์มตกขึ้นมา อีกคนก็จะสามารถก้าวขึ้นมารับหน้าที่ทำประตูแทนคนๆ นั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูล ที่พอ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟอร์มฝืด พวกเขาก็มี ซาดิโอ มาเน่ มาคอยผลิตสกอร์ให้แทน

อย่างไรก็ตาม เชซุส ซึ่งถือเป็นกองหน้าเบอร์ 2 ของ แมนฯ ซิตี้ กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง เขาเพิ่งทำประตูไปเพียง 18 ลูก จากการลงเล่น 42 นัดในทุกรายการของซีซั่นนี้ และไม่สามารถรับหน้าที่ทำประตูแทน อเกวโร่ ได้ดีเท่าที่ควร ทั้งที่เขาเคยทำผลงานได้โดดเด่นในช่วงแรกๆ กับทีม

โชคยังดีที่ในช่วงที่ผ่านมา อเกวโร่ ยังสามารถลงล่าตาข่ายให้ทีมอย่างต่อเนื่องได้ แต่ เชซุส ก็จำเป็นต้องพัฒนาฟอร์มของเขาเพื่อที่จะเป็นตัวเลือกอีกคนหนึ่งให้ได้ ในกรณีที่ต้องลงไปช่วยแบ่งเบาภาระของดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์

    - เควิน เดอ บรอยน์
12 ประตู กับ 21 แอสซิสต์ คือผลงานตลอดทั้งฤดูกาลก่อนของ เดอ บรอยน์ จากการลงเล่น 52 นัดในทุกรายการ ซึ่งนั่นทำให้ดาวเตะชาวเบลเยียมได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในจอมทัพของวงการฟุตบอล

ถึงกระนั้น ความโดดเด่นที่ว่าหายไปหมดสิ้นในซีซั่นนี้ เดอ บรอยน์ ทำไปเพียง 5 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 27 นัดในทุกรายการ แถมเขายังแอสซิสต์ในลีกไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียวด้วย

จริงอยู่ว่าช่วงหนึ่ง เดอ บรอยน์ โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก แต่เขาก็สลัดอาการเดี้ยงจนกลับมาช่วยทีมแบบเต็มที่ได้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นตอนนี้มันจึงขึ้นอยู่กับเขาเองที่จะโชว์ฟอร์มเก่งออกมาเพื่อช่วยทีมในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

    - ริยาด มาห์เรซ
นี่คือการเสริมทัพระดับทีมชุดใหญ่แค่คนเดียวของ แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ โดยที่ "เรือใบสีฟ้า" ต้องยอมควักเงินถึง 60 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,460 ล้านบาท) ให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นการเสริมทัพที่ทำให้ กวาร์ดิโอล่า ดีใจสุดๆ เพราะเขาอยากได้แข้งรายนี้มานานแล้ว

ถึงกระนั้น ความฝันของ กวาร์ดิโอล่า ที่จะเห็น มาห์เรซ ระเบิดฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง ดาวเตะจากทวีปแอฟริกาที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกเพิ่งทำไปเพียง 11 ประตู กับ 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 42 นัดในทุกรายการ แถมในลีกก็ยังได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแค่ 13 นัดเท่านั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ให้โอกาส มาห์เรซ หลายครั้ง แต่เขาก็ยังไม่สามารถตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นได้ จนทำให้หลายคนมองว่าเขาเป็นตัวถ่วงของทีม และถ้ามันยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาก็อาจจะทำให้ แมนฯ ซิตี้ อดเป็นแชมป์ทั้ง 4 รายการก็ได้