หลังจบแมตช์ที่ 9 ของศึกบุนเดสลีกา สถานการณ์บนตารางคะแนนในตอนนี้ปรากฏว่าโบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัคนำเป็นจ่าฝูง โดยที่ทีมจ่าฝูงกับทีมอันดับ 10 มีคะแนนต่างกันเพียง 5 แต้มเท่านั้น ทำให้ศึกบุนเดสลีกาเป็นลีกที่สู้กันสูสีที่สุดในทวีปยุโรป มีจ่าฝูงเปลี่ยนมือกันมาแล้วถึง 4 ทีม อยากรู้ใช่ไหมว่าอะไรทำให้ศึกบุนเดสลีกาครั้งนี้ต่อสู้กันได้สูสีคู่คี่กันมากที่สุดนับตั้งแต่เปลี่ยนกฎจากผู้ชนะได้ 2 คะแนนมาเป็นได้ 3 คะแนนในปี 1995 มาดูกันเลยว่ามีเหตุผลอะไรกันบ้าง

1. โค้ชหน้าใหม่ ไอเดียก็ใหม่
6 จาก 11 ทีมหัวตารางบุนเดสลีกาในฤดูกาลนี้ต่างก็มีโค้ชใหม่ป้ายแดงกันทั้งนั้น ทั้งมาร์โค โรเซ่อ (กลัดบัค) ยูเลียน นาเกลส์มันน์ (แอร์เบ ไลป์ซิก) โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ (โวล์ฟสบวร์ก) ดาวิด วากเนอร์ (ชาลเค่อ) อันเต้ โควิช (แฮร์ธ่า เบอร์ลิน) และ อัลเฟร็ด ชรอยเดอร์ (ฮอฟเฟนไฮม์)

เรื่องโค้ชใหม่มีผลต่อฟอร์มของทีมและผู้เล่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะในช่วงแรก นักเตะต่างก็จะพยายามสร้างความประทับใจให้โค้ชคนใหม่เพื่อจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราได้เห็นแข้งตัวเก่งหลายๆ คนสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นฤดูกาล อย่างเช่น อลาสซาเน่ เพลอา (4 ประตู 4 แอสซิสต์) วูท เวกฮอร์สต์ (5 ประตู 2 แอสซิสต์) ทิโม แวร์เนอร์ (6 ประตู)

นอกจากนี้ อีกประเด็นที่สำคัญสำหรับโค้ชใหม่ก็คือ พวกเขาต่างก็นำระบบการเล่นใหม่ๆ และไอเดียใหม่ๆ มาสู่ทีมเพื่อสร้างสไตล์การเล่นฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจ หากไม่นับนาเกลส์มันน์แล้ว โค้ชหน้าใหม่ที่กล่าวถึงข้างต้นต่างก็ยังไม่เคยรับบทกุนซือใหญ่คุมทีมในบุนเดสลีกาเลยสักคน แต่นี่แหละที่ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนนินจาไร้เงา เพราะยิ่งทำให้คู่แข่งเดาได้ยากว่าทีมจะเล่นแบบไหน และจะเตรียมแผนอะไรไปรบด้วยดี

2. สไตล์ใกล้ๆ กัน
ระบบการเล่นและกลยุทธ์ในฟุตบอลสมัยใหม่มักเดินตามเทรนด์ไปในทางเดียวกัน และเราก็ได้เห็นหลายๆ ทีมในบุนเดสลีกาใช้ระบบการเล่นที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือการเล่นเพรสซิ่งค่อนข้างสูง เปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุก หรือรุกเป็นรับอย่างรวดเร็ว บดกันแบบไม่มีผ่อนเกม หรือกระทั่งการเน้นคุณภาพในการจบสกอร์ ที่เห็นได้ชัดก็คือทีมกลัดบัค เลเวอร์คูเซน โวล์ฟสบวร์ก แฟรงค์เฟิร์ต ไลป์ซิก และ ดอร์ทมุนด์ ส่วนในทีมไฟรบวร์กหรือชาลเค่อก็เริ่มมีการปรับแผนไปในทิศทางนี้เช่นกัน

ผลก็คือเมื่อทีมหัวตารางเหล่านี้มาพบกันก็มักลงเอยด้วยผลเสมอ ทำให้คะแนนรวมบนตารางไม่ได้หนีห่างกันมาก “ตอนนี้มีประมาณ 12 สโมสรได้ที่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นทีมหัวตารางบุนเดสลีกา” ดาวิด วากเนอร์ บอสใหญ่ทีมชาลเค่อกล่าว

ก็ถูกของวากเนอร์แหละ เพราะเมื่อลองย้อนไปดูผลเฮ้ดทูเฮ้ดของแต่ละทีมในซีซั่นนี้แล้วจะพบว่ากลัดบัคนั้นเสมอกับชาลเค่อ โดยที่ชาลเค่อก็มาเสมอกับดอร์ทมุนด์ ด้านโวล์ฟสบวร์กเสมอกับไลป์ซิกและฮอฟเฟนไฮม์ ส่วนไลป์ซิกเสมอกับเลเวอร์คูเซนและบาเยิร์น ขณะที่ไฟรบวร์กก็เสมอกับดอร์ทมุนด์ เรียกได้ว่าทีมใหญ่ๆ เสมอกันวุ่นไปหมด…

แต่ที่ฮือฮากว่านั้นก็คือชรอยเดอร์ เฮ้ดโค้ชของฮอฟเฟนไฮม์ที่ออกมากล่าวว่าคู่แข่งที่แกร่งที่สุดที่พวกเขาเจอในฤดูกาลนี้คือชาลเค่อ ซึ่งพวกเขาเอาชนะมาได้ในแมตช์เดย์ 7 แล้วยังคิดว่าแกร่งว่าบาเยิร์น มิวนิคที่เอาชนะมาในแมตช์เดย์ 6 ซะอีก

3. ฉลาดซื้อ
อย่างที่รู้กันว่าค่าตัวผู้เล่นในตลาดซื้อขายนักเตะในยุโรปตอนนี้ทะยานสูงระห่ำสุดๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เนย์มาร์ย้ายจากบาร์ซ่าไปอยู่กับเปแอสเชในปี 2017

แต่สำหรับบุนเดสลีกาแล้ว หลายสโมสรใหญ่กลับไม่ได้เลือกเซ็นสัญญาคว้าตัวนักเตะบิ๊กเนมเพื่อสร้างความสำเร็จให้กับทีม พวกเขาเน้นไปที่การใช้แมวมองคอยส่องดูฟอร์มนักเตะ และลงทุนในราคาที่คุ้มค่าอย่างชาญฉลาดมากกว่า

มาร์คัส ตูราม (กลัดบัค) บาส โดสต์ (แฟรงค์เฟิร์ต) ตอร์กาน อาซาร์ (ดอร์ทมุนด์) นาดีม อามิรี (เลเวอร์คูเซน) และฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (บาเยิร์น) ทั้งหมดนี้คือรายชื่อนักเตะท็อปคลาสที่เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายกันไปและโชว์ฟอร์มได้เยี่ยม แถมยังพัฒนาฝีเท้าขึ้นไปอีกเรื่อยๆ นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่แต่ละทีมต่างก็พัฒนาไปข้างหน้าโดยที่ไม่ทิ้งห่างกันเท่าไรนัก

“การที่หัวตารางบุนเดสลีกาสูสีนี่แหละคือข้อพิสูจน์คุณภาพของลีก” มักซ์ เอเบิร์ล สปอร์ตติ้ง ไดเร็คเตอร์ทีมกลัดบัคกล่าว “เราต้องการเก็บแต้มต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และรั้งตำแหน่งจ่าฝูงให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”

4. ไม่มีการจอดรถบัส
หลายคนอาจคิดว่าการที่มี 7 สโมสรจากบุนเดสลีกาต้องไปเล่นในเวทีฟุตบอลยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าต้องสร้างความตึงเครียดและความอ่อนล้าให้กับทีมมากขึ้น รวมทั้งมีทีมน้องใหม่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในเวทีบุนเดสลีกาถึง 3 ทีม จะทำให้พวกเขานำแผนการเล่นแบบเก่าๆ มาใช้มากขึ้น นั่นก็คือการเล่นอุดหลังบ้านและยันผลเสมอเพื่อรักษากำลังไว้ แต่ความเป็นจริงคือเปล่าเลย กลับยังตรงกันข้ามด้วยซ้ำ…

เราได้เห็นว่าแต่ละทีมเล่นเกมบุกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงฟอร์มการเล่นเกมรับอันเหนียวแน่นเอาไว้ และยังมีการซื้อตัวนักเตะตัวรุกกันเพิ่มขึ้น จากสถิติหลังจบแมตช์เดย์ 9 รวม 26 เกมบุนเดสลีกา 32% ของผลการแข่งขันทั้งหมดเป็นฝ่ายทีมเยือนที่คว้าชัยสำเร็จ เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่ผ่านๆ มาถือว่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ทีมรองบ่อนหลายทีมกลับทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเกินความคาดหมาย อย่างเช่น พาเดอร์บอร์น ทีมน้องใหม่ในบุนเดสลีกาสามารถยิงประตูได้ตลอด 7 เกมแรกของพวกเขา โดยที่เป็นฝ่ายยิงขึ้นนำคู่แข่งได้ถึง 3 หน แถมยังยิงได้ในช่วง 15 นาทีแรกของเกมได้ถึง 5 ครั้ง

ในเกมที่พวกเขาพบกับบาเยิร์นแชมป์เก่า พาเดอร์บอร์นก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะพ่ายให้ทีม “เสือใต้” ไปอย่างฉิวเฉียด 2-3 ประตู ยังไม่นับเกมสุดช็อคที่ยูเนียน เบอร์ลินคว่ำดอร์ทมุนด์ไป 3-1 ประตู ฮอฟเฟนไฮม์บุกไปเชือดบาเยิร์นคาบ้าน 1-2 และชาลเค่อกับไฟรบวร์กที่เอาชนะทีมเต็งอย่างไลป์ซิกไปได้ แม้ภาพอันดับคะแนนบุนเดสลีกาปลายซีซั่นนี้ยังคงเลือนลาง แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือทุกทีมต่างก็ปล่อยอาวุธต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่มีเกรงศักดิ์ศรีของทีมไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะทีมเล็กหรือทีมใหญ่ก็มีสิทธิ์ชนะได้ไม่ต่างกัน และท้ายที่สุด ทีมที่เข้าวินในซีซั่นนี้อาจเป็นทีมใดก็ได้ในครึ่งตารางบนตอนนี้