พ่อ ''จา-พนม'' ยื่นคำขาดให้ลูกชายกลับสุรินทร์ ถ้ายังคิดว่าเป็นพ่อลูกกัน ไม่งั้นต่างคนต่างอยู่ อ้างไม่ได้ทำร้ายลูกเพียงแค่หยอกล้อกันเท่านั้น โร่แจ้งตำรวจให้ช่วยตรวจสอบสิ่งผิดปกติของลูกชาย ด้านแม่พระเอกนักบู๊ยันครอบครัวไม่มี ปัญหาด้านการเงิน

    ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ สำหรับความไม่เข้าใจกันระหว่าง ''จา'' พนม ยีรัมย์ กับคุณพ่อ ทองดี ยีรัมย์ ซึ่งได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่พ่อทองดีได้ประกาศตามหาลูกชายหนสองแต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ จนอดรนทนไม่ได้ต้องถ่อสังขารจากสุรินทร์บุกมาถึงกองถ่ายที่วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนจะบานปลายถึงขั้นลงไม้ลงมือสั่งสอนลูกจนเป็นข่าวครึกโครมในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา แถมทางฝั่งภรรยาพระเอกนักบู๊ ''บุ้งกี๋-ปิยรัตน์'' ยังแจ้งความไว้ที่จังหวัดปทุมธานีเพราะหวั่นชายฉกรรจ์แปลกหน้าสองคนที่มากับครอบครัวพ่อสามีจะพกปืนมาทำร้ายครอบครัว
    

    ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 17 มิ.ย. 56 ที่ผ่านมา คุณพ่อทองดี ยีรัมย์ และครอบครัวได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยอ้างว่าพบเห็นความผิดปกติและรู้สึกเหมือนลูกชายโดนควบคุมจึงอยากให้ตำรวจช่วยตรวจสอบ
    

    ในวันเดียวกันเวลา 19.00 น. คุณพ่อทองดี ยีรัมย์ และครอบครัวก็ได้เดินทางไปที่รายการไนน์ เอ็นเตอร์เทน เพื่อเปิดใจถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายลูกชายอย่างที่เป็นข่าว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการหยอกล้อและปฏิกิริยาการต่อสู้ของจาเท่านั้นจึงทำให้มีการเข้าใจผิด
    

    ''ผมบอกให้จากลับบ้านวันหรือสองวันก็ได้ แต่เขาบอกไม่กลับจะถ่ายหนังเพราะมีชาวต่างประเทศด้วย ไม่งั้นจะเสียหายต่อบริษัท ผมจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา เขาก็มากอดผมแบบหยอกผม ผมก็เลยดีดขาไปเขาก็ทำท่าเหมือนตอนฝึกมวยซึ่งเราก็เล่นกันแบบนี้ประจำ ไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับลูกเลยแค่ตามหาลูกเอง'' พ่อทองดีกล่าว
    

    พ่อพระเอกนักบู๊ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้จาเปลี่ยนไปว่า ''ผมคิดดูแล้วคงเป็นเพราะครอบครัวภรรยาเขานั่นแหละ จริงๆ จาไม่เป็นแบบนี้หรอก ลูกผมกตัญญูทุกคน ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรเขาก็กตัญญูของเขาเอง ความต้องการพ่อที่สุดแค่อยากให้ลูกกลับไปครอบครูที่ลูกเคยฝึกมาก่อนจะเป็น โทนี่ จา ซึ่งปกติเขาก็มาครอบทุกปีแต่ปีนี้ไม่มา เราก็เลยอยากตามให้มา''
    

    อย่างไรก็ตาม พ่อทองดีได้ยื่นคำขาดต่อลูกชายว่าการออกมาตามกลับบ้านครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งถ้าหากจายังคิดว่าเป็นพ่อลูกกันอยู่ก็ขอให้กลับไป ไม่เช่นนั้นก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่เสียดีกว่า
    

    ''วันนี้เป็นวันสุดท้ายนะจา พ่อจะไม่ตามแล้ว ถ้ายังคิดว่าเป็นพ่อลูกกันอยู่ก็ตามไปที่บ้าน แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน'' พ่อพระเอกหนุ่มกล่าวทิ้งท้าย
    

    ด้าน รินทร์ ยีรัมย์ และ ''หัตถา'' แม่กับพี่สาวของ ''จา-พนม'' ที่เดินทางมาพร้อมคุณพ่อก็ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ''คือพ่อเขามีอาการเก็บกดไม่สามารถติดต่อได้นาน ตั้งแต่แต่งงานไม่เคยเจอและพูดคุยเป็นส่วนตัว เรื่องทำร้ายร่างกายมีเล็กน้อย ไม่ถึงขนาดที่เป็นข่าว เป็นการสั่งสอนที่เกิดเหตุการณ์นี้เพราะพ่อนั่งรอมานาน 4 ชม. ทำให้เกิดความเครียด ความดัน เส้นโลหิตร้าว 4 เส้น เกิดความน้อยใจที่ลูกให้คนเป็นพ่อมารอนาน พี่ชายเป็นคนบอกว่าจากับพ่อไม่ได้

    เจอครึ่งปีแล้วตั้งแแต่งงาน เค้าไม่โทร.มา เลยพยายามติดต่อถี่ๆ ไม่ค่อยได้คุยกับจา บางทีจาและเมียจารับสาย หลังๆ ติดต่อไม่ได้เลย''
    

    ''คือแม่ก็ยอมรับว่าพ่อถีบจา แต่ไม่ได้ชก ทุกคนเข้าไปช่วย พ่อสั่งสอนจานิดเดียว พอดีเสียงดัง ผจก.เข้ามาพอดี ตั้งแต่จาขึ้นรถได้คุยแค่ 7 นาที ไม่เคยถามเลยว่าพ่อแม่สบายดีไหม อ้างว่าที่ไม่กลับบ้านเพราะว่ายังติดงาน ถ่ายหนัง ถ้ากลับไปอาจจะไม่มีเงินมาให้พ่อแม่ แต่ว่าถ้ามีเวลาเขาก็จะกลับ แต่เหมือนบ่ายเบี่ยงเพราะพูดมา 6 เดือนแล้ว ตั้งแต่นั้นไม่สามารถติดต่อกันได้อีก มีแต่ส่งเงินมา 10,000 บาท ตอนจะแต่งงานได้ให้เงินกับพี่สาวและพี่ชายคนละ 2 แสน กระจายให้ทุกคนคุณพ่ออาการไม่ค่อยดีมากๆ แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ถ้าเจอความเครียดจะรับไม่ได้ อยากให้จากลับมาหาพ่อ''
    

    ''ที่เราอยากให้กลับมาเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยทั้งจาและพ่อ ก่อนหน้านี้เคยกลับบ้านทุกปี และมาทำพิธีกรรมที่ทำกันทุกปีตั้งแต่บรรพบุรุษ อยากให้เข้าไปทำพิธี จาไม่ได้ทำ 2 ปีแล้ว เห็นเล่นหนังเกี่ยวกับช้างโดนทำร้าย เป็นห่วง วันนี้พ่อใส่สายสิญจน์ที่เท้าด้วยสองข้าง อยู่ๆ ลุกขึ้นมารำเป็นช้าง เป็นสัตว์เลยเกิดความกังวล เรามีพ่อคนเดียวไม่อยากให้เป็นอะไรอยากให้กลับมา แต่ยังไม่ทันได้บอกได้คุยอะไรเขาก็มาดึงจาไป''
    

    แม่ของพระเอกนักบู๊ยังกล่าวปฏิเสธถึงประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นเพราะเรื่องเงินทำให้มาตามตัวจากลับไป ซึ่งแม่จากล่าวตรงนี้ว่า ''เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาเลย ทุกคนทำมาหากินตามประสาชาวไร่ชาวนา ทุกสิ่งที่ได้จากจาเค้าให้เอง ก่อนหน้าที่จะมีเรื่องครอบครัวลูกสะใภ้ก็เอาของมาให้ตลอด แต่ตั้งแต่มีเรื่องก็ไม่เคยเอามา ซึ่งเราก็ไม่ได้เรียกร้องเพราะไม่อยากให้เป็นบุญคุณ หาเองได้''