ปรีวิวฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
(รอบรองชนะเลิศ นัดแรก)
วันอังคารที่ 26 เมษายน 2559
แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ) - เรอัล มาดริด (สเปน)
ถ่ายทอดสด : ทรูโฟร์ยู, บีอินส์ สปอร์ตส์ (เวลา 01.45 น.)

สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม

        แมนฯ ซิตี้ ของ มานูเอล เปเยกรีนี่ ไล่ถลุง สโต๊ค 4-0 ในบ้าน เกมพรีเมียร์ ลีก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

        ทีมเรือใบสีฟ้าฝ่าด่าน เปแอสเช มาด้วยประตูรวม 3-2 รอบที่แล้ว ทำให้ทีมทะยานมาถึงรอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรก

        ความพร้อมเกมนี้ทีมต้องเสีย ยาย่า ตูเร่ ที่เจ็บกล้ามเนื้อมาจากเกมกับทีมช่างปั้นหม้อ หมดสิทธิ์ลงเล่นเกมนี้

        ทำให้ แฟร์นานดินโญ่ จะคุมแผงกลางร่วมกับ แฟร์นานโด หลังจากช่วงหลังคู่นี้เองก็เข้าคู่กันได้ค่อนข้างดี

        อีกรายที่หมดสิทธิ์ลงสนามคือ ซามีร์ นาสรี่ ซึ่งไม่ได้ลงทะเบียนเล่นในรายการนี้ ฟาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่หายเจ็บกลับมามีชื่อสำรองนัดก่อน เกมนี้ก็ยังน่าจะรอโอกาสที่ข้างสนามต่อไป

        ด้าน แวงซอง กองปานี , บาการี่ ซาญ่า และ กาแอล กลิชี่ 3 แนวรับที่ถูกพักไว้ในเกมลีก ก็จะกลับมาลงคุมหลังบ้านกันยกแก๊ง โดยมี โจ ฮาร์ท เฝ้าเสาเหมือนเดิม

        แนวรุก เควิน เดอ บรอย เองก็พักมาเต็มสูบ จะกลับมาลงเดินเกมประสานงานกับ เฆซุส นาบาส และ ดาบิด ซิลบา กองหน้าตัวเป้ายังยึด เซร์คิโอ อเกว์โร่

        ซีเนดีน ซีดาน กุนซือ เรอัล มาดริด นำทีมแซงกลับมาเข่น ราโย บาเยกาโน่ 3-2 เกม ลา ลีกา เมื่อสัปดาห์ทีผ่านมา

        ทีมราชันชุดขาวพลิกสถานการณ์กลับมาพิชิต โวล์ฟบวร์ก แบบสุดระทึก 3-2 ในรอบที่แล้ว ทำให้ทีมเข้ารอบมาแบบหืดจับ

        สภาพทีมนั้นคงจะเข็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของทีมลงเล่น แม้จะมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อหลังเข่าเล็กน้อย แต่ก็ลงซ้อมได้ไร้ปัญหา

        ที่น่าเป็นห่วงคือ คาริม เบนเซม่า ที่เจ็บกล้ามเนื้อโดนเปลี่ยนตัวออกในเกมที่เจอกับ ราโย ถ้าไม่ไหวอาจจะเป็น เฆเซ่ ที่รอเสียบแทนอยู่

        รายของ เปเป้ และ แกเร็ธ เบล เองก็ไม่สมบูรณ์นัก แต่ยังไงน่าจะต้องใช้งานทั้งคู่ในเกมสำคัญแบบนี้

        ฟาก เซร์คิโอ รามอส ที่ได้พักในเกมลีก จะกลับมาคุมหลังบ้าน เช่นเดียวกับ ดาเนี่ยล การ์บาฆาล จะได้ยืนแบ็คขวาแทน ดานิโล่

        นอกจากนั้นแล้ว กาเซมีโร่ ที่โดนแบนในเกมลีก ก็จะกลับมาลงเล่นในแผงมิดฟิลด์ ประสานงานกับ ลูก้า โมดริช และ โทนี่ โครส

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

        แมนฯ ซิตี้ : โจ ฮาร์ท - บาการี่ ซาญ่า , นิโกลัส โอตาเมนดี้ ,แวงซ็อง กองปานี , กาแอล กลิชี่ - แฟร์นันดินโญ่, แฟร์นานโด - เฆซุส นาบาส, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์ - เซร์คิโอ อเกวโร่

        เรอัล มาดริด : เกย์ลอร์ นาวาส - ดาเนียล การ์บาฆาล , เปเป้ , เซร์คิโอ รามอส, มาร์เชโล่ - โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช,การ์ลอส กาเซมีโร่ - แกเร็ธ เบล ,คริสเตียโน่ โรนัลโด้ , คาริม เบนเซม่า

        ผู้ตัดสิน : คูเนต ชาเคียร์ (ตุรกี)

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
- แมนฯ ซิตี้ และ เรอัล มาดริด เจอกันในเกมอย่างเป็นทางการแค่ครั้งเดียวก่อนหน้านี้ จากถ้วยชปล. ฤดูกาล 2012-13 โดยราชันชุดขาวชนะ 3-2 ที่เบร์นาเบว ก่อนเสมอ 1-1 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม
- เรอัล มาดริด ไม่แพ้ใน 8 เกมหลังสุดที่พบทีมจากอังกฤษในชปล. (ชนะ 6 เสมอ 2) โดยสโมสรอังกฤษทีมล่าสุดที่เขี่ยพวกเขาตกรอบคือ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2008-09 (ประตูรวม 5-0 ในรอบ 16 ทีม)
- นี่เป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกันนับจากฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเล่นนอกบ้านในนัดแรก ของรอบน็อกเอาต์ ชปล.
- แมนฯ ซิตี้ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ชปล. เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยพวกเขาชนะแค่ครั้งเดียวจาก 4 เกมที่เล่นในบ้าน รอบน็อกเอาต์ จากเกมกับเปแอสเช ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาลนี้ (เสมอ 1 แพ้ 2)
- "เรือใบสีฟ้า" ทำคลีนชีตได้ตลอด 2 เกมชปล.หลังสุด ที่เล่นในเอติฮัด สเตเดี้ยม (กับดินาโม เคียฟและเปแอสเช) โดยพวกเขาทำคลีนชีตได้แค่ครั้งเดียวจาก 17 เกมยุโรปในบ้านก่อนหน้านั้น
- แมนฯ ซิตี้ ทำคลีนชีตแค่ครั้งเดียวจาก 10 เกมชปล.ที่พบคู่แข่งจากสเปน (3-0 เหนือบียาร์เรอัล เมื่อพฤศจิกายน 2011)
- 6 จาก 9 ครั้งที่แมนฯ ซิตี้ยิงเข้ากรอบในชปล. เป็นประตู
- แมนฯ ซิตี้ ได้ประตูในช่วง 15 นาทีสุดท้าย มากกว่าทีมอื่นในชปล.ฤดูกาลนี้ (7)
- แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมเดียวในรอบรองชนะเลิศ ที่ครองบอลน้อยกว่า 50% ในชปล.ฤดูกาลนี้ (48.6%)
- เรอัล มาดริด ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ชปล. ตลอด 6 ฤดูกาลหลัง เป็นสถิติยาวนานที่สุดในตอนนี้ นอกจากนั้น นี่ยังเป็นการหลุดเข้ารอบตัดเชือกครั้งที่ 27 ของพวกเขา มากกว่าทุกสโมสร
- เรอัล มาดริด ชนะแค่ครั้งเดียวจาก 4 เกมเยือนหลังสุดในชปล. รอบน็อกเอาต์ (เสมอ 1 แพ้ 2) จากเกมกับโรม่า รอบ 16 ทีม ซีซั่นนี้
- เรอัล มาดริด ทำคลีนชีตมากกว่าทุกทีมในชปล.ฤดูกาลนี้ (8 จาก 10 เกม) นอกจากนั้น พวกเขายังชนะมากกว่าทุกทีมในรายการนี้ด้วย (8)
- คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำประตูและแอสซิสต์รวมแล้วเป็น 77% ของประตูที่เรอัล มาดริดได้ในชปล. ฤดูกาลนี้ (20 จาก 26) และห่างจากสถิติยิงประตูในชปล.ที่เขาเป็นเจ้าของเพียงประตูเดียว (17 ลูก ฤดูกาล 2013-14)
- โรนัลโด้ทำประตูเป็น 2 เท่า (16 ต่อ 8) และมีโอกาสยิงเป็น 2 เท่า (82 ต่อ 41) เหนือผู้เล่นรายอื่นในชปล.ฤดูกาลนี้
- คาริม เบนเซม่า ทำประตูได้ตลอด 2 เกมชปล.ที่พบแมนฯ ซิตี้ อย่างไรก็ตาม เขายิงไม่ได้ 3 เกมหลังในรายการนี้ เป็นผลงานแย่สุดนับตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2013
- นับตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13 ไม่มีผู้เล่นคนไหนที่ผ่านบอลสำเร็จในชปล. มากกว่า โทนี่ โครส (2,927)
- เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" ยิงไม่ได้ใน 3 เกมชปล.หลังสุด เป็นผลงานแย่สุดนับตั้งแต่ยิงไม่ได้ 5 เกมระหว่างพฤศจิกายน 2011 ถึงตุลาคม 2012
- นอกจากนั้น อเกวโร่ "กุน" ยิงไม่เข้ากรอบในชปล.นาน 342 นาที โดยครั้งสุดท้ายที่ยิงเข้ากรอบ คือประตูในเกมกับดินาโม เคียฟ เดือนกุมภาพันธ์
- แฟร์นันดินโญ่ ทำฟาวล์ 32 ครั้งในชปล. ฤดูกาลนี้ มากกว่าผู้เล่นรายอื่น 10 ครั้ง (รองลงมาคือ คาเซมิโร่ 22 ครั้ง)