"บิ๊กเน" เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ ยันอีกครั้งแม้จะพ้นโทษแบนทางการเมืองในฐานะ 1 ใน 111 นักการเมืองที่โดนลงโทษห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และจะสามารถกลับมาเล่นการเมืองได้อีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ในปี พศ. 2555 จะไม่หวนคืนสู่ถนนสายการเมืองแน่นอนชีวิตจากนี้ไปพร้อมพลีให้ฟุตบอลวางเป้าพาทีม "ปราสาทสายฟ้า" เป็นยอดทีมของเอเชียภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี  
  
 

ทุ่มเทให้กับการสร้างทีมลูกหนังของจังหวัดบุรีรัมย์ ทั้ง บุรีรัมย์ พีอีเอ ในลีกสูงสุดอย่าง สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก และ บุรีรัมย์ เอฟซี ในลีก ด.1 จนประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้ง 2 ทีม นำเป็นจ่าฝูง และเป็นเต็งแชมป์ของฤดูกาลนี้ทั้ง 2 เวที สำหรับ "บิ๊กเน" เนวิน ชิดชอบ นักการเมืองดังระดับประเทศ โดยตลอดห้วงเวลา เกือบจะ 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า "บิ๊กเน" พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเขานั้นรักกีฬาฟุตบอลไม่แพ้ใคร และทำจริงให้การสนับสนุนอย่างจริงจังจนหลายคนสงสัยว่า เป็นการใช้เวลาว่างคลายเครียดระหว่างติดโทษแบนทางการเมืองหรือไม่

ล่าสุด นสพ.สยามกีฬา ได้สอบถามยัง "บิ๊กเน" เกี่ยวกับเรื่องอนาคตทั้งเวทีการเมืองและอีกบทบาทในขณะนี้ที่เป็นบทบาทสำคัญของเจ้าตัวที่แฟนบอลและคนไทยรู้จักเขาดี ก็คือการเป็นคนลูกหนังว่า ต่อจากนี้ไปจะเดินหน้าไปทางไหน เรื่องนี้ "บิ๊กเน" ออกมากล่าวว่า "สำหรับเรื่องการเมืองนั้นผมยืนยันได้เลยว่าจะไม่กลับไปข้องเกี่ยวอีกแล้ว เพราะปัจจุบันทำทีมฟุตบอลคลุกคลีกับฟุตบอลเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขยิ่งซะกว่าเล่นการเมือง แม้ทำทีมฟุตบอลจะมีอะไรต้องคิดมากมายชวนให้ปวดหัว แต่ดีกว่าปวดหัวกับเรื่องการเมืองแน่นอน"

สำหรับ "บิ๊กเน" นั้นเป็น 1 ใน 111 นักการเมืองที่โดนลงโทษห้ามข้องเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี โดยจะสามารถหวนกลับมาสู่สนามการเมืองได้อีกครั้งตั้งแต่เดือน พ.ค. ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป

วางเป้าพา "ปราสาทสายฟ้า" บิ๊กทีมเอเชียใน 5 ปี

"บิ๊กเน" กล่าวต่ออีกด้วยว่า "แม้ว่าปีนี้ทีมฟุตบอล บุรีรัมย์ พีอีเอ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง เพราะยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ทั้ง 3 รายการ แต่ผมยังไม่หยุดและอิ่มกับความสำเร็จแค่นี้แน่นอน ทำทีมฟุตบอลต้องมีเป้าหมายเมื่อได้ความสำเร็จในประเทศแล้วเป้าหมายต่อไปก็คือทำผลงานให้ดีที่สุดในเวทีฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย ที่ปีหน้าเราจะได้เล่น เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม โดยอัตโนมัติ เมื่อเราได้เล่นรอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติแล้วเป้าหมายก็คือจะขอผ่านรอบแบ่งกลุ่มให้ได้ จากเดิมที่เราจะต้องเล่นเพลย์ออฟก่อนผมขอแค่ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มให้ได้ แต่นี่เราได้เล่นรอบแบ่งกลุ่มแล้วก็ต้องวางเป้าขอผ่านรอบแบ่งกลุ่มให้ได้ และจากนั้นไม่เกิน 5 ปีผมจะพาทีม "ปราสาทสายฟ้า" เป็นแชมป์ฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้เพื่อบอกวงการลูกหนังเอเชีย ว่า ทีมจากประเทศไทย ก็มีดีพอที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรเอเชีย ได้เหมือนกัน"

8 นัดขอชนะรวดสร้างสถิติได้แต้มมากสุด

นายใหญ่ "ปราสาทสายฟ้า" กล่าวอีกว่า "ไทยลีกนั้นปีนี้เราไม่น่าจะพลาดแชมป์อย่างแน่นอน แต่สิ่งสำคัญนอกเหนือจากนั้นก็คือผมหวังจะเห็นทีม บุรีรัมย์ พีอีเอ คว้าแชมป์ด้วยการชนะรวดในอีก 8 นัดที่เหลือ ตอนนี้เรามีอยู่แล้ว 65 แต้มหากอีก 8 เกมที่เหลือเราชนะได้หมดจะได้อีก 24 แต้ม รวมเป็น 89 แต้มในฤดูกาลนี้ เท่ากับเราจะเป็นทีมแรกที่จะเก็บแต้มได้มากที่สุดในฐานะทีมแชมป์ลีกสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังของไทยเรา เพราะ ไทยลีก ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 จนถึงวันนี้เป็นจำนวน 15 ฤดูกาลนั้น เท่าที่ผมทราบยังไม่มีทีมไหนเลยที่เก็บแต้มได้เกิน 80 แต้ม"