ไม่แปลกใจที่ใครๆ ต่างคาดการณ์กันว่า "จีน" จะก้าวขึ้นมากลายเป็น "มหาอำนาจ" ของโลก ในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ แทน "สหรัฐอเมริกา"

เพราะจากการที่ได้ไปเกาะติดความเคลื่อนไหวของทีม "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย​์ ยูไนเต็ด ถึงเมืองนานกิง ประเทศจีน ระหว่างเดินทางไปทำศึกฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ก็เห็นถึงความเจริญที่แทบไม่แพ้ประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ หรือแม้กระทั่งในยุโรป

ทั้งความสะอาด, ความเป็นระเบียบ ของถนนหนทาง ตึกราบ้านช่อง ถูกจัดสรรปันส่วนได้อย่างลงตัว แม้อาจจะดูไม่โมเดิร์น หรูหรา ศรีวิไล ทันสมัย แต่ก็ยังนับว่าเพรียบพร้อมไปด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ ที่จำเป็นครบสรรพ
บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน

บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน

หลายคนอาจคุ้นกับเมืองปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ หรือกวางโจว มากกว่า แต่ ถ้าบอกว่า นานกิง คือ อดีตเมืองหลวงของจีน ในสมัย ราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) และถ้าจะยกให้เห็นถึงความสำคัญที่ชัดเจนขึ้น ใครที่เคยดูหนังจีนที่ฉายในบ้านเรา คงจำได้มักจะมีฉาก ชายหนุ่มจากทั่วสารทิศ เดินทางไปสอบ "จองหงวน" หรือข้าราชการ ในสมัยก่อน ซึ่งสถานที่เป้าหมายนั่น ก็คือ เมืองหนานกิงแห่งนี่เอง ขณะที่ในปัจจุบัน นานกิง ถือว่าเป็นเมืองหลวงของ มณฑลเจียงสู และยังถูกยกให้เป็นเมืองแห่งทหารอีกด้วย

นอกจากนี้ เพราะในอดีต นานกิง ถูกกองทัพทหารญี่ปุ่น บุกมาโจมตีเผาเมืองและสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม (ค.ศ.1937) ก็ทำให้ ชาวจีนที่นี่ กว่าครึ่ง ยังคงแค้นและฝังใจเกลียดชังชาวญี่ปุ่น จน ไค ฮิราโนะ นักเตะญี่ปุ่น ของทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะอาจกลายเป็นเป้าแบบไม่ได้ตั้งใจไปด้วย เพราะนัดที่แล้ว ทีมเวกัลตะ เซนได มาเยือนที่นี่ ถึงขนาด ตำรวจ,ทหาร หลายนาย ต้องมาคุมกั้นความปลอดภัยให้เลยทีเดียว
ทางเท้าของประชาชน เดินเหินได้อย่างสบาย ชิลๆ

ทางเท้าของประชาชน เดินเหินได้อย่างสบาย ชิลๆ

โดยในช่วงเวลาที่คณะสื่อมวลชน ได้เดินทางไปพร้อมกับทีมบุรีรัมย์ เป็นช่วงที่เมืองกำลังปรับปรุง,​ก่อสร้างโครงการด้านๆ ขนานใหญ่ เพื่อรองรับการจัดกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ในปีหน้า ทำให้ล้อมๆ เมืองจึงเต็มไปด้วย เครื่องจักร ขนาดใหญ่ มากมาย แต่ก็แปลกที่แม้จะมีรถมาก แต่ การจราจร ก็ถือว่าไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้ติดหนัก ขยับเขยื้อนแทบไม่ได้เป็นชั่วโมงอย่างในบ้านเรา

นั่นก็เพราะพวกเขาไม่สิ่งกีดขวางบนถนนหนทาง ถูกจัดแบ่งเป็นโซนจักรยาน, รถมอเตอร์ไซต์,ทางเท้าอย่างดี อีกทั้ง เราแทบไม่เห็นสะพานลอย หรือเสาไฟฟ้าระโยงระยางเลย แถมที่น่าสนใจคือ มีต้นไม้ ริมทางตลอดถนน ชวนให้รื่นหูรื่นตาไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องมารยาทการใช้ทาง ดุเดือดไม่แพ้บ้านเราเหมือนกัน!!

รอบเมือง เต็มไปด้วย ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมถนนหนทาง

ทริปนี้ "คุณกุ่ย" ไกด์นำทางลูกครึ่งไทย-จีน ได้ให้ความกระจ่างแก่คณะของทีมบุรีรัมย์ และสื่อมวลชน ระหว่างเดินทาง โดยชี้ให้เห็นว่า เมืองจีนคงไม่มีวันนี้ได้ หากไม่มี เติ้ง เสี่ยวผิง วีรบุรุษของชาติผู้ยิ่งใหญ่ที่ ปฏิวัติ แดนมังกร จนส่งผลมาถึงปัจจุบัน

มีไม่่น้อย ที่คนอาจหวาดกลัวกับคำว่า "คอมมิวนิสต์" จะถูกจำกัดลิดรอนเสรีภาพ แต่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่คนจีนสามารถทำอะไรก็ได้ อาจยกเว้นแค่ เล่นเฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์, ยูทูบ ส่วนกฎหมาย อาจรุนแรง แต่ในแง่บวก ก็ทำให้ประเทศพวกเขามีความเป็นระเบียบ ควบคุมดูแลประชาชนง่าย และที่สำคัญจัดการวางระบบบ้านเมืองง่าย

มีโซนให้เดินเที่ยวเล่น ยามค่ำคืน

แต่ก็ต้องมีข้อแม้ว่า "ผู้นำ" จะต้องเป็นคนมีวิสัยทัศน์ เห็นแก่ประโยชน์บ้านเมืองจริงๆ ซึ่ง ชาวจีน ส่วนใหญ่ ยอมรับว่า ภายใต้ระบบคอมมิวนิสต์ ที่ฝ่าย ประชาธิปไตยมักจะใส่สีให้เป็นผู้ร้ายของโลกเสมอ พวกเขา ภูมิใจกับประธานาธิบดีของเขาทุกคน นับตั้งแต่ยุค เติ้งเสี่ยวผิงเป็นต้นมา

คำถามในหัวก็ผุดขึ้นมาว่า แล้วเรา ประเทศที่ชมยกหางตัวเอง ประกาศตัวป่าวๆว่า เป็นประชาธิปไตย มีอิสระเสรี แต่ทำอะไรได้ดีกว่าเขาบ้างหนอ..?