กลายเป็นประเด็นฮอตที่ให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีของหนุ่มหน้าใส ''ภีม'' ภาคิน จิกิตศิลปิน ลูกชายของ ''แอน'' กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ ที่ก่อนหน้านี้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทางรายการ ''วู้ดดี้เกิดมาคุย'' ว่า จริงๆ แล้วพ่อของตนคือ ''เจค'' ศตวรรษ ดุลยวิจิตร ซึ่งพ่อทิ้งไปเมื่อ 18 ปีก่อน และไม่เคยออกมายอมรับว่าตัวเองเป็นลูก งานนี้ทำให้ร้อนถึงอดีตพระเอก ''เจค'' ศตวรรษ ดุลยวิจิตร ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ ต้องออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลถึงกรณีที่เกิดขึ้น

    โดยเจ้าตัวออกมาชี้แจงผ่านสื่อในงานบวงสรวงละครเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ว่าหากตัวเขาเองไม่รับเป็นลูกคงเอาไปทำแท้งตั้งแต่วันแรกแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าตัวเองรับ ''ภีม'' เป็นลูกของตนตั้งแต่ที่อดีตภรรยา คือแอนมาบอกตนว่าท้อง พร้อมกับยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทอดทิ้ง ยังคงมีการส่งเสียผ่านทาง มานพ สัมมาบัต อดีตผู้กำกับฯ ของดาราวีดีโอ ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว
     
    ล่าสุด อดีตพระเอกชื่อดัง ได้เดินทางไปบันทึกเทปรายการ ''ปากโป้ง'' ที่สตูดิโอแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว โดยเปิดใจเล่าเรื่องราวของตัวเองตั้งแต่แรก โดยเนื้อหาของเรื่องราวที่เจ้าตัวกล่าวให้พิธีกรในรายการฟัง ท้าวความตั้งแต่เจอะเจออดีตภรรยา ''แอน'' กัญญารัตน์ ที่ ''เดอะพาเลซ'' สถานที่เที่ยวชื่อดังยามค่ำคืน สมัยเมื่อ 20 ปีก่อน พร้อมกับบอกว่าได้เจอกับอดีตภรรยาแค่ครั้งเดียวก่อนที่ ''แอน'' จะหายไปและกลับมาบอกเขาว่าท้องหลังจากนั้น 3 เดือน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นพ่อของลูกถึงแม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ยอมรับแต่โดยดี
     
    หนุ่มเจคเล่าต่อว่า หลังจากนั้นทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนมีลูกคนที่ 2 ซึ่งตอนนั้น ''ภีม'' อายุประมาณ 3 ขวบ ก็เกิดปัญหาขึ้นเพราะตัวเจคไปสืบทราบมาว่า อดีตภรรยาคือ ''แอน'' ตอนนั้นเคยจดทะเบียนสมรสกับคนอื่นมาก่อนที่จะมาอยู่กินกับตัวเอง จึงทำให้ชีวิตคู่ของทั้ง 2 คนต้องประสบปัญหา ถึงขั้นแย่งชิงลูกกันไปมาอยู่หลายครั้ง โดยมีการลงไม้ลงมือและเป็นคดีความทำให้ ''เจค'' ไม่สามารถเข้าใกล้ภรรยาและลูกได้นับแต่นั้นมา
     
    ในรายการอดีตพระเอกหนุ่มยังพ้อและขอยอมรับผิด กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และวอนฝ่ายอดีตภรรยาให้เลิกแล้วต่อกัน พร้อมกับยืนยันว่าตัวเองนั้นอยากพบและพูดคุยกับลูก ซึ่งระหว่างที่เจ้าตัวพูดคุยในรายการ ''เจค'' ได้นำหลักฐาน คือหนังสือนิตยสาร ''ผู้หญิง'' ฉบับปี 2538 ที่เขาเองเคยถ่ายปกคู่กับลูกทั้ง 2 มาให้ในรายการดูเพื่อยืนยันถึงบทสัมภาษณ์ที่ตัวเองเคยพูดไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ว่าเขานั้นรักลูกขนาดไหน และที่สังคมตราหน้าเขาว่าเป็นคนไม่ยอมรับ ''ภีม'' เป็นลูกและทอดทิ้งนั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อดีตพระเอกชื่อดังระบายความในใจผ่านรายการน้ำตาเจ้าตัวก็คลอเบ้าอยู่เป็นระยะๆ

    
    เสร็จจากรายการ หนุ่ม ''เจค'' ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่ออีกครั้ง โดยตอบคำถามดังต่อไปนี้

    
    หลังจากที่ออกมาพูดก่อนหน้านี้มีฟีดแบ็กอะไรบ้างไหม?
     
    ''ไม่ได้ดูเลยครับ เพราะว่าผมต้องทำงานทุกวัน สมาธิต้องอยู่กับงานครับ ถ้าอย่างนั้นผมทำงานไม่ได้ คิดอย่างเดียวคือเราอยากปล่อยวางทุกอย่าง ไม่อยากให้งานเสียครับ''

    
    อีกฝ่ายได้มีติดต่อมาบ้างไหม?
     
    ''ไม่ได้ติดต่ออะไรเลยครับ''

    
    รู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องตกเป็นจำเลยสังคม?
     
    ''คือมันโดนมา 20 ปีแล้วครับ ถ้าถามว่า ณ 20 ปีที่แล้วกับเมื่อวันก่อนไม่นานมานี้ที่โดนข่าว อันไหนหนักกว่ากันต้องยอมรับว่าเมื่อ 20 ก่อนหนักกว่ามาก เทียบตอนนี้เหมือนโดนมดกัด แต่ตอนนั้นเหมือนโดนพญามด มันหนักมากครับ''

    
    เหมือนว่าตอนนี้เราดีขึ้น?
     
    ''ดีขึ้นครับมันเหมือนว่าทำให้ผมแข็งแรงขึ้น มีภูมิต้านทานเยอะขึ้น เพียงแต่ว่าสมัยนี้การสื่อสารมันเร็วขึ้น มันเยอะขึ้น ทั้งอินเทอร์เน็ตทั้งอะไร''

    
    อยากเจอลูกทั้ง 2 คน ไหม?
     
    ''ผมเคยบอกว่าว่าอยากเจอตั้งแต่เมื่อ 20 ปี ตั้งแต่เมื่อถูกพรากไปแล้วครับ แต่มันทำไม่ได้เพราะมีกำแพงของกฎหมายอยู่ ทนายบอกให้ผมอยู่ห่างเขา 50 เมตร ไม่ต้องไปยุ่งไปอะไร กับเขาอีก เขากลัวผมจะไปตามอีกเพราะวัยนั้นมันยังคึกคะนอง มันมีความบ้าพอ''

    
    ที่มาของคดีความคืออะไรที่ทำให้ฝ่ายนั้นต้องสั่งห้าม เราอยู่ใกล้ลูกใกล้ครอบครัว?
     
    ''คือมันเกิดจากเรื่องราวที่แย่งลูกกัน จนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน เราเป็นผู้ชาย เหมือนเราไปทำผู้หญิงเขาก็แจ้งความเรื่องมันก็เกิดที่โคราชผมก็เป็นจำเลยกับตำรวจที่โคราช''

    
    ทางฝั่งนั้นเขาก็ยืนยันว่าทางเราไม่ดูแล?
     
    ''คือหลักฐานก็มีอะครับ คือผมโดนตำรวจเขาเรียกตัวไปที่โคราชเรื่องอะไร อย่างเรื่องที่ผมยืนยันว่าผมรักลูกหนังสือก็เป็นเครื่องยืนยันอยู่แล้วครับ ผมไม่ได้เพิ่งมาพูดตอนนี้ว่ารักลูก ผมจึงต้องเอาหนังสือมาให้ดูครับ เราคุยกันเรื่องหลักฐานดีกว่า ผมไม่ได้แก้ตัวนะครับ เมื่อก่อนผมโดนตำรวจจับก็เพราะเรื่องที่ไปแย่งลูกนี่แหล่ะครับถ้าไม่มีการแย่งลูกเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นวันนี้ก็คงไม่เกิดเรื่อง''

    
    คิดว่าลูกจะรู้ไหมว่ามันเคยเกิดเรื่องทีว่าเราไม่ได้เป็นคนทิ้งนะ เราพยายามตามหา แต่ทางคุณแม่เขาเป็นคนพาหนี?
     
    ''เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับเพราะผมเองก็ไม่ได้คุยกับลูกมากว่า 20 ปีแล้ว ไม่มีใครหรอกครับที่อยากจะให้ลูกของตัวเองไปอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ผมอะครับ ผมก็พยายามเต็มที่สู้จนถึงที่สุดครับ ถ้าไม่มีกำแพงกฎหมายผมก็คงไปอีกรอบ''

    
    ตอนนี้อายุความหมดหรือยัง?
     
    ''อายุความมีอะไรยังไงผมไม่ทราบครับ เพราะผมก็พูดตามที่ทนายบอกผม วันนี้ผมอยากให้ทางแอนเขาเปิดใจจะให้ผมเจอลูกได้ไหม เราเจอกันไหม ให้มาคุย มาเหมือนกับพ่อแม่ทั่วไป ทุกวันนี้ผมอยากให้เขาปล่อยวาง อยากจะขอโทษเขาตรงนี้ด้วยไม่ว่าอะไรก็ตาม ด้วยกายวาจาใจทุกอย่างทีทำกับเขา เขาจะให้อภัยผมไม่ให้อภัยผมไม่ได้คิดตรงนั้น ผมไม่ได้สนใจตรงนั้นผมสนใจที่ว่าผมไม่ได้คิดอะไรแล้วและมองว่าเขาเป็นเพื่อนคนนึง''

    
    จากกระแสข่าวที่ออกมา มีบางคนบอกว่า''แอน'' ปั่นให้ลูกไม่เข้าใจพ่อเป็นไปได้ไหม?
     
    ''ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ ผมคิดว่าเขาคงไม่ทำ เพราะว่ายังไงยังไงเขาก็เป็นลูก ผมว่าคงต้องถามเจ้าตัวน่าจะดีที่สุด''

     บางคนบอกว่าที่แอนออกมาเพราะต้องการเรียกกระแสให้กับลูกด้วย?
     ''อันนั้นผมไม่ทราบ แต่ตรงนี้ผมก็ต้องขอโทษแทนลูกชายผมด้วยที่บางทีอาจจะไปพูดอะไรที่ไม่ดี เพราะว่าเขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าจะโทษก็มาโทษผมดีกว่าครับ เพราะถ้าจะผิด ก็ผิดเพราะผมตั้งแต่แรกที่ผมไปเจอแอน มันผิดตั้งแต่ตรงนั้นมา ทุกอย่างมันคือที่ผม ยอมรับผิดคนเดียวครับ อย่าไปลงที่ลูกเลย เพราะเขาไม่รู้เรื่อง เด็กควรที่จะมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆ มากกว่า สิ่งเลวร้ายผมทำมาเยอะผมก็อยากทำสิ่งดีๆ บ้างยืดอกรับเต็มที่''

    
    ต่อข้อถามที่ว่าเห็นว่าทางเราอยากจะให้ทางน้องภีมติดต่อกับมาหาเรา จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะเป็นฝ่ายติดต่อน้องไปเอง?
     
    ''ผมว่าทุกอย่างอยู่ที่แอน ถ้าแอนเปิดใจทุกอย่างผมก็อยากทำคงไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่อยากอยู่กับลูก การห่างถึง 20 ปี เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ผมมีความรู้สึกเหมือนผีตายทรากตอนนั้นทุกอย่างมันมึนไปหมด''

    
    ได้ดูผลงานของน้องไหม?
     
    ''ได้ดูบ้างครับ ผลงานตัวเองยังไม่ได้ดูเลยก็รู้สึกว่าดีใจครับ (หัวเราะ) คือเขาเพิ่งเริ่มแรก ทุกอย่างมันก็เหมือนพ่อครับ พ่อมันก็ 100 เทกมาแล้วครับ คนเราต้องมีวันนั้นครับ ไม่งั้นก็ไม่มีวันนี้ครับ''

    
    อยากจะร่วมงานกับลูกชายตัวเองสักครั้งไหม?
     
    ''ถ้าเป็นไปได้นะครับ เต็มใจเลยครับ''

    
    โกรธรายการที่เอาน้องภีมออกไปไหม?
     
    ''คือมันก็มอง 2 มุมนะ มุมที่ผมโกรธคือเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของครอบครัวใหม่ผม แล้วอีกมุมนึงผมก็ดีใจที่เขาพยายามที่จะสร้างลูกผมให้ประดับในวงการ แต่วิธีการนำเสนอในความรู้สึกของผมมันไม่ถูกต้อง ความรู้สึกผมผมอยากให้เขาสร้างด้วยฝีมือของเขาเอง จากผลงานของเขาเองมากกว่า''

    
    ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางนั้นมากี่ปีแล้ว?
     
    ''ถ้าผมจะให้ผมจะให้ผ่านไปทางคุณมานพ ถ้าจะให้ในลักษณะของกฎหมายก็ผ่านทางทนาย แต่เขาจะไปรับหรือไม่รับคือส่วนตัวเขาเพราะคุณแม่ผมเป็นคนจัดการ อย่างที่ผมทราบมาดูจากรายการเมื่อคือเขาบอกว่าเขาไปไม่ถูก เขาก็เลยไม่ไป''

    
    ทางครอบครัวปัจจุบันเป็นยังไงบ้าง?
     
    ''ตอนนี้ทางภรรยาผมเขาก็เครียด เพราะมันมีข่าวออกมาขณะที่เขาตั้งท้อง สวนผมมันภูมิต้านทานมันเยอะแล้วก็เลยไม่เป็นอะไร''

    
    ถ้าเกิดวันนึงภีมกลับมาเรียกพ่อทางภรรยาใหม่จะทำใจยอมรับได้ไหม?
     
    ''เขาทำใจได้ครับ เขาเต็มใจครับ อย่างเรื่องที่เป็นข่าวเขาก็เป็นคนมาบอกผม แต่เขาเองกลับเอาตัวไม่รอด''

    
    ในช่วงปลายของคำถาม ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีความหวังว่าน้องจะกลับมาเรียกพ่ออีกไหม?
     
    อดีตพระเอกชื่อดังหยุดคิดนิดนึงก่อนตอบว่า ''อย่างน้อยก็พอมีแสงสว่างทุกคนก็รอครับ ผมก็รอ ตอนนี้ผมมีลูกที่บ้านเรียกพ่อแล้วถ้ามีลูกชายที่โตเป็นหนุ่มมาเรียกพ่ออีกคนนึงผมก็ต้องดีใจครับ''