จุดโทษกิเลนไร้ข้อครหา!!! สุเมธ สายแวว เชิ้ตดำฟีฟ่าผู้ตัดสินเกม ''กิเลนผยอง'' เอสซีจี เมืองทอง เปิดบ้านเชือด พัทยา ยูไนเต็ด 3-2 แจงชัดชอตจุดโทษกิเลนตีเจ๊า 1-1 ตำราฟีฟ่าเรียกว่า ''แท็กเกิล ฟอร์ บีไฮนด์'' หรือการกระแทกผู้เล่นฝ่ายรุกจากทางด้านหลัง ย้ำเป็นจุดโทษอย่างแน่นอน ชี้ที่ไม่แจกใบเหลืองให้ อาน บัง คุน กองหลังพัทยาที่กระแทกใส่ ศราวุฒิ มาสุข เพราะไซส์ของร่างกายผิดกันจึงทำให้ดูเป็นการกระแทกอย่างรุนแรง

         ควันหลงจากเกมโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก 2013 คู่วันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่ง "กิเลนผยอง" เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ"โลมาฟ้า-ขาว" พัทยา ยูไนเต็ด 3-2 โดยช่วงท้ายครึ่งแรกเกิดประเด็นปัญหาที่ฝั่งพัทยา ยูไนเต็ด ไม่พอใจ เมื่อ สุเมธ สายแวว ผู้ตัดสินเกมดังกล่าวเป่าจุดโทษให้เจ้าถิ่นจากจังหวะที่ อาน บัง คุน กองหลังหมายเลข 6 ของพัทยากระแทกใส่ ศราวุฒิ มาสุข แนวรุกเอสซีจี เมืองทอง ในกรอบเขตโทษจากทางด้านหลัง

 
         ก่อนที่ เอ็ดวัลโด้ เฮอร์โมซ่า จะรับหน้าที่สังหารเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ในครึ่งแรก เรื่องดังกล่าวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างทั้งทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ว่าจุดโทษดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล ทั้งๆ ที่แท้จริงสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือจุดโทษอย่างปฏิเสธไม่ได้

 
         อย่างไรก็ตาม สยามกีฬาได้ต่อสายตรงไปยัง สุเมธ สายแวว ผู้ช่วยผู้ตัดสินฟีฟ่า ที่ทำหน้าที่ตัดสินเกมคู่นี้ ซึ่งได้เผยอย่างชัดเจนกับจังหวะดังกล่าวว่า "จังหวะที่ ศราวุฒิ มาสุข ถูกกระแทกล้มลงในกรอบเขตโทษเขาเรียกจังหวะนี้ว่า แท็กเกิล ฟอร์ บี ไฮนด์ หรือการกระแทกผู้เล่นฝ่ายรุกจากทางด้านหลัง

 
         ผมอยู่ใกล้เหตุการณ์มาก เห็นทุกอย่าง ผมใช้สปีดเข้าถึงเหตุการณ์ สังเกตได้ชัดว่าผมใช้หลักการตัดสินของฟีฟ่ามาประยุกต์ใช้ด้วย ผมไม่ได้ควักใบเหลืองให้กับ อาน บัง คุน ผู้ทำฟาวล์ เพราะว่าร่างกายของเขามีไซส์ใหญ่กว่า ศราวุฒิ มาสุข จึงทำให้ดูว่าเป็นการกระแทกที่รุนแรง

 
          แต่แท้ที่จริงไม่ใช่ผู้เล่นพัทยาไม่ได้ใช้แรงอะไรมาก เพียงแต่ว่าความใหญ่ของร่างกายผิดกัน แต่ถามว่าเป็นลูกจุดโทษไหม มันก็เป็นจุดโทษอย่างสมเหตุสมผล อีกทั้งเอฟเฟกต์ในครึ่งเวลาหลังของพัทยา ยูไนเต็ด ก็ดูจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างก็ดูจะราบรื่น กลับกันหากผู้เล่นของเอสซีจี เมืองทอง ทำฟาวล์ผู้เล่นพัทยา ยูไนเต็ด ในกรอบเขตโทษในเคสเดียวกับที่เอสซีจี เมืองทอง ได้ ผมก็ต้องเป่าจุดโทษให้กับพัทยา ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน"

 
         พร้อมกันนั้น สุเมธ สายแวว ยังได้เผยเปิดใจอย่างหมดเปลือก ว่านับตั้งแต่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินมาตลอดทั้งชีวิต เจ้าตัวไม่เคยตัดสินให้ขาวกลายเป็นดำเลยสักครั้งเดียว "ผมตัดสินฟุตบอลมายาวนานร่วม 19 ปีเต็ม อีกทั้งยังได้มีประสบการณ์เป็นผู้ช่วยผู้ตัดสินฟีฟ่าอีก 10 ปี ผมทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่ ม.กรุงเทพ ถึง 21 ปี

 
         ตลอดอาชีพการทำงาน ผมไม่เคยเปลี่ยนให้ขาวเป็นดำ ยึดหลักความถูกต้องมาใช้ในการตัดสิน และที่สำคัญคุณจะไม่เคยเห็นผู้ตัดสินไทยใช้นกหวีดสีขาวตัดสิน ส่วนใหญ่จะใช้สีดำ, สีส้ม แต่สำหรับผมใช้นกหวีดสีขาวตัดสิน เพื่อใช้เป็นสิ่งยึดมั่นจิตใจว่าการตัดสิน หรือการสอนหนังสือทุกครั้งจะต้องเป็นสีขาวเรื่อยมา นกหวีดตัวนี้ผมฝากเพื่อนซื้อที่สิงคโปร์ ผมใช้นกหวีดสีขาวตัวนี้ตัดสินบอลมาตลอด"