จอห์น โอบี มิเกล บอกเล่าถึงเรื่องที่ปฏิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้วไปซบ เชลซี ทั้งที่ตอนแรกเซ็นสัญญากับ "ปีศาจแดง" ไปแล้ว โดยระบุ "สิงห์บลูส์" ดูแลตนกับครอบครัวดีมากๆ ต่างกับ "ปีศาจแดง" ที่ไม่ได้ติดต่อมาหาตนหลังจากที่ตนทำการทดสอบฝีเท้ากับทีมไปแล้ว

    จอห์น โอบี มิเกล กองกลางชาวไนจีเรีย เปิดเผยรายละเอียดถึงกรณีที่เขาย้ายไปอยู่กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเซ็นสัญญากับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแล้ว

มิเกล เป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองอย่างมากหลังทำผลงานได้น่าพอใจในศึกฟุตบอลโลก 2013 รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมแรกที่แสดงความจริงจังในการเอาเขามาปลุกปั้น ด้วยการให้เจ้าตัวมาทดสอบฝีเท้ากับทีม ซึ่งหลังจากได้รับข้อเสนอดังกล่าว มิเกล ก็เดินทางข้ามทวีปมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ของ "ปีศาจแดง" ทันที แม้ว่าตอนนั้นจะยังเป็นเด็กนักเรียนก็ตาม

ทั้งนี้ รอย คีน กับ พอล สโคลส์ 2 ตำนานกองกลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ประทับใจในฝีเท้าของ มิเกล มากๆ จนไปบอกให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือคนดังรีบเซ็นสัญญากับ มิเกล ทันที ซึ่งหลังจากได้ทดสอบฝีเท้ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด 1 เดือนแล้วนั้น มิเกล ก็ยังได้รับโอกาสทดสอบฝีเท้าต่ออีก 3 สัปดาห์

ท้ายที่สุด ยอดทีมแห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญากับ มิเกล โดยมีเอเยนต์รายหนึ่งติดต่อไปหาเขาพร้อมเสนอที่จะให้เงินเขา 53,000 ปอนด์ ถ้าเขาเซ็นสัญญากับ แมนฯ ยูไนเต็ด และบอกว่าเขาจะได้เงินมากกว่านั้นด้วยหากเลือกอยู่กับทีมของ เฟอร์กูสัน ขณะที่กุนซือชาวสกอตต์ก็ถึงขั้นบอกกับ มิเกล ว่าถ้าเขามาอยู่กับทีมแล้วนั้น เขาก็อาจจะได้ขับรถหรูๆ เหมือนนักเตะคนอื่นๆ ของทีมเลย

หลังจากนั้น มิเกล ก็เดินทางกลับไปที่บ้านเกิด อย่างไรก็ตาม คนที่ติดต่อมาหาเขาเป็นคนแรกกลับไม่ใช่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตามที่ทางทีมให้สัญญาเอาไว้ แต่เป็น จอห์น ชิตตู เอเยนต์รายหนึ่งที่บอกว่าตอนนี้ เชลซี สนใจที่จะเซ็นสัญญากับเขา ซึ่งดาวเตะชาวไนจีเรียก็ได้ไปซ้อมกับ "สิงห์บลูส์" และตกลงให้ ชิตตู เข้ามาเป็นเอเยนต์ของเขา

หลังจากนั้น 7 เดือน มิเกล ก็ย้ายไปที่ นอร์เวย์ เพื่ออยู่กับ ลิน ออสโล ทีมในนอร์เวย์ โดยที่นั่นเขาได้ฝึกฝีเท้าภายใต้การสั่งสอนของ เฮนนิ่ง เบิร์ก อดีตกองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเขาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับทีมดังกล่าวตอนที่อายุ 18 ปี และหลังจากที่เขาได้ลงเล่นให้ทีมไปเพียงไม่กี่นัด เฟอร์กูสัน ก็ตัดสินใจเดินทางไปที่นอร์เวย์เพื่อหาเขาด้วยตัวเอง

เฟอร์กูสัน แสดงเจตนารมณ์แบบชัดเจนว่าไม่อยากพลาดตัว มิเกล อีกแล้ว และยื่นข้อเสนอที่มีมูลค่า 1.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 67.5 ล้านบาท) ให้กับ ลิน ออสโล ขณะที่ มิเกล ก็แสดงท่าทีว่าพร้อมย้ายไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการเซ็นสัญญากับทีม และถ่ายรูปในสภาพที่ใส่ชุดของ "ปีศาจแดง" ในงานแถลงข่าวด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น มิเกล ก็มารู้ความจริงว่า ลิน ออสโล ทำข้อตกลงกับ เชลซี เอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วว่าทางทีมจะไม่ขายเขาให้ทีมอื่นๆ นอกจาก เชลซี

"เราเดินทางไปที่กรุงลอนอนกัน ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมคิดว่า -ฉันเพิ่งเซ็นสัญญากับ ยูไนเต็ด แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะไปอยู่กับ เชลซี ซะแล้ว!" มิเกล ซึ่งปัจจุบันอยู่กับ เทียนจิน เทด้า ทีมในจีน เปิดปากกับ เดอะ ซัน สื่อชื่อดังของเมืองผู้ดี

หลังจากนั้น มิเกล ก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านในกรุงลอนดอนตลอดเวลา และไม่ได้เล่นให้สโมสรไหนๆ เลย เพราะมันมีการต่อสู้ทางกฎหมายที่สุดท้ายกินระยะเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังได้เล่นให้ทีมชาติไนจีเรียในศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ที่ประเทศอียิปต์เป็นเจ้าภาพ ซึ่งหลังจบรายการนั้นเขาก็เดินทางกลับมาที่ อังกฤษ และได้พบกับ เซอร์ เดฟ ริชาร์ดส์ ประธาน พรีเมียร์ลีก ในตอนนั้น โดยเขาบอกกับ ริชาร์ดส์ ว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าอยากอยู่กับ เชลซี

ในเวลาต่อมา มิเกล ก็ได้พบกับ โชเซ่ มูรินโญ่ แบลับๆ โดย มิเกล ถึงกับต้องเปลี่ยนรถ 6 คันเพื่อไปยังสถานที่เจรจากัน และสุดท้ายกุนซือชาวโปรตุกีสก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้ มิเกล มาเป็นลูกทีมของเขาได้

แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวทำให้ เฟอร์กูสัน โมโหมากๆ โดย มิเกล ได้พบกับกุนซือชาวสกอตต์ในอีก 7 วันหลังจากนั้น และยอมบอกกับ เฟอร์กูสัน ว่าเขาจะไม่ไปเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว "มันน่าเหลือเชื่อมาก ตอนนั้นผมยังเป็นแค่เด็กนักเรียน แต่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็น 2 ทีมที่ใหญ่ที่สุดในโลกพยายามจะเซ็นสัญญากับผม ผมจะไม่มีวันลืมตอนที่ได้เจอกับ เซอร์ อเล็กซ์ เป็นครั้งที่สองเลย ผมเซ็นสัญญากับ ยูไนเต็ด ไปแล้ว แต่ก็ต้องบอกกับเขาว่า -ขอโทษครับ ผมอยากเล่นให้ เชลซี- หลังจากที่ทดสอบฝีเท้าแล้วผมก็ไม่ได้รับการติดต่ออะไรจาก ยูไนเต็ด อีกเลย แต่ เชลซี ดูแลผมกับครอบครัวของผมดีมากๆ ผมจึงต้องแสดงความภักดีต่อพวกเขา"

ที่จริงตอนนั้น บาร์เซโลน่า ก็พร้อมฉวยโอกาสคว้าตัว มิเกล ไปร่วมทีมเช่นกัน ถ้าไม่มีฝ่ายไหนหาข้อสรุปได้ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงเมื่อ เชลซี จ่ายเงินให้ ลิน ออสโล 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 180 ล้านบาท) และให้ แมนฯ ยูไนเต็ด 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 540 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าชดเชย