ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ลีกคัพอื่นๆ » บอลโลกในความทรงจำ! ย้อนดูแมตช์ประทับใจตลอดกาลศึกเวิลด์คัพ

บอลโลกในความทรงจำ! ย้อนดูแมตช์ประทับใจตลอดกาลศึกเวิลด์คัพ

Posted 06/06/2018 by siamsport

นับถอยหลังอีกเพียงไม่กี่วันฟุตบอลโลก 2018 ก็จะเปิดฉากขึ้น เรามาย้อนความหลังนัดแห่งความทรงจำตั้งแต่อดีตจนถึงครั้งล่าสุด จะมีแมตช์ไหนที่ท่านทั้งหลายจำได้บ้างไหม ไปไล่เรียงดูกันได้เลย
10. โปรตุเกส 5-3 เกาหลีเหนือ, 1966

 

ฟุตบอลโลก 1966 หลายคนอาจจดจำในแมตช์ชิงชนะเลิศ ที่อังกฤษเอาชนะ เยอรมัน ตะวันตก จากประตูปัญหา แต่อีกหนึ่งความทรงจำอีกหนึ่งนัดนั่นก็คือ เกมระหว่าง โปรตุเกส พบ เกาหลีเหนือ   

พลพรรคฝอยทองชุดนั้นมีหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของชาติอย่าง ยูเซบิโอ นำทัพซึ่งในช่วงนั้นเบนฟิก้า ทีมดังของลีกก็กวาดแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพได้สองสมัยติด อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าจดจำในเกมนี้คือการที่ ชาติจากเอเชีย ชิงขึ้นนำโปรตุเกส 3-0 ในช่วง 25 แรก ท่ามกลางความประหลาดใจของแฟนบอลในสนามกูดิสัน พาร์ค   

แต่หลังจากนั้น โปรตุเกสก็สร้างความคุ้มค่าแก่คนดูในสนามแห่งนี้อีกครั้ง เมื่อสามารถสร้างปรากฎการณ์การคัมแบ็กได้จากที่โดนนำ 0-3 โดยยูเซบิโอ จัดการเหมาคนเดียว 4 ประตู ในช่วง 32 นาทีก่อนที่ โชเซ่ ออกุสโต้ จะมายิงประตูปิดกล่องให้ โปรตุเกส เอาชนะ โสมแดง ไป 5-3 แต่น่าเสียดายที่โปรตุเกสชุดนี้ไปไม่ถึงดวงดาวเมื่อแพ้ต่อเจ้าภาพ 1-2 ในรอบรองชนะเลิศ

9. อุรุกวัย 2-1 บราซิล, 1950

   

"มีเพียงสามคนในโลกเท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้คนว่า 200,000 คนที่สนามมาราคาน่าสงบลงได้ นั่นคือ แฟร้ง ซิเนสตร้า, พระสันตปาปา จอห์น ปอลที่สอง และอีกคนหนึ่งคือ ตัวผม" นี่คือคำพูดของอัลซิเดส กิกจา ตำนานลูกหนังที่ซัดประตูชัยพาอุรุกวัยคว้าแชมป์โลก เหนือเจ้าภาพบราซิล ในปี 1950   

ก่อนเกมนัดชิงจะฟาดแข้ง บราซิลเป็นต่อเหนืออุรุกวัยหลายขุม อีกทั้งยังมีเสียงเชียร์ที่คอยหนุนหลังพวกเขาที่สนาม และเกมก็เป็นไปอย่างที่หลายคนคิดเมื่อทัพเซเลเซา ออกนำไปก่อนท่ามกลางเสียเชียร์ที่กึกก้อง แต่หลังจากนั้นเหมือนเป็นฝันร้ายในมาราคาน่า เมื่อทีมจอมโหด ยิงแซงสองประตูรวด โดยเฉพาะลูกที่กิกจา ซัดประชัยส่งผลให้เสียงในมาราคาเงียบกริบลงทันที

8. อาร์เจนติน่า 2-1 อังกฤษ, 1986

 

ทัพสิงโตคำรามเดินทางผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ศึกเวิลด์ คัพ'86 ด้วยผลงานสุดน่าประทับใจ ซึ่งในรอบนี้คู่แข่งของพวกเขาคือ"ฟ้า-ขาว" อาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นชาติที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับพวกเขาจากกรณีสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ หมู่เกาะอันเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศสงครามของอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา ต่ออังกฤษประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น โดยอาร์เจนตินาถือว่าหมู่เกาะฟอล์กแลนด์แท้จริงแล้วคือหมู่เกาะมัลบีนัสของตนที่ถูกอังกฤษยึดครองมากว่าศตวรรษ   

อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากความขัดแย้งนั้น ในเกมนี้อาร์เจนติน่า ที่นำโดยดาวเตะหมายเลขหนึ่งของชาติ ดีเอโก้ มาราโดน่า ได้บันทึกประตูที่น่าจดจำในเกมฟุตบอลโลกถึงสองประตูในเกมเดยว โดยลูกแรกมาจาก "หัตถ์พระเจ้า" Hand of God อันลือชื่อ ที่เสือเตี้ยจงใจใช้มือตบบอลเข้าประตูผ่านมือปีเตอร์ ชิลตัน ในนาทีที่ 51 ซึ่งประตูนี้ช่วยเพิ่มดีกรีความขัดแย้งของทั้งสองชาติมากขึ้นไปอีก   

อีก 4 นาทีต่อมา มาราโดน่า ทำประตูที่เรียกได้ว่าเป็นประตูแห่งศตวรรษ เมื่อเฮคตอร์ เอ็นริเก้ จ่ายบอลให้กับจอมทัพหมายเลข10 ฟ้า-ขาว จากนั้นมาราโดน่า เลี้ยงบอลเป็นระยะทางกว่า 60 หลา ในช่วงเวลาเพียง 10 วินาที ลากผ่าน 5 ผู้เล่นสิงโตคำราม ไล่ตั้งแต่ ปีเตอร์ เบียดสลี่ย์, ปีเตอร์ รีด, เทอร์รี่ บุตเชอร์ และเทอร์รี่ เฟนวิค ก่อนที่จะแตะหลบปีเตอร์ ชิลตัน เป็นคนสุดท้ายและส่งบอลเข้าประตู ทำให้อาร์เจนฯ ทิ้งห่าง 2-0  ถึงแม้ แกรี่ ลินีเกอร์ จะมายิงให้อังกฤษไล่มา 1-2 ในช่วง 9 นาทีสุดท้าย แต่ก็ไล่ไม่ทัน จากนั้นมาราโดน่าและผองเพื่อนก็ผงาดแชม์โลกได้ในบั้นปลาย

7. สวีเดน 2-5 บราซิล, 1958

 

ทัพไวกิ้ง มีโอกาสที่ดีจะคว้าแชมป์โลกในประเทศตัวเอง เมื่อนิลส์ ลีดโฮล์ม เบิกสกอร์แรกสร้างความหวังให้แก่คนทั้งชาติ แต่หนึ่งในความทรงจำในแมตช์นี้คือการแจ้งเกิดของเด็กหนุ่มวัย17 ปีที่ต่อมาหลายๆคนเรียกเขาว่า"ไข่มุกดำ" ใช่แล้วครับ เขาคือเปเล่ นั่นเอง!
       

แม้สองเกมแรกในเวิลด์คัพ ครั้งนี้ของเปเล่ เขาจะไม่ได้ลงสนามแต่หลังได้รับโอกาสและเป็นคนซัดประตูชัยในเกมกับเวลส์และต่อมาซัดแฮตทริกในเกมกับฝรั่งเศส จนได้รับโอกาสเป็นตัวจริงในเกมนัดชิงชนะเลิศท่ามกลางทุกสายตาที่จับตามองไปที่เขา   

และสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจะได้เห็นอะไรดีๆจากเด็กอายุ 17 ปี ก็ตามมาเมื่อเปเล่ แสดงศักยภาพเกินวัย จัดการทำสองประตูในเกมนี้ โดยประตูแรกของเขามาจากทักษะอันยอดเยี่ยมโดยพักบอลด้วยอกก่อนจะวอลเล่ย์ด้วยซ้ายเป็นประตูให้แซมบ้าทิ้งห่าง 3-1 ก่อนที่จะเอาชนะไปได้ 5-2 ซึ่งหลังสิ้นเสียงนกหวีด น้ำตาจากเด็กน้อยไหลออกมาอย่างเอ่อล้นและหลังจากนั้นเขาก็คือตำนานแห่งทัพเซเลเซา

6. บราซิล 1-0 อังกฤษ, 1970

  

แม้เกมนี้จะเป็นเพียงเกมในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ความน่าสนใจคือ อังกฤษที่มาในฐานะทีมแชมป์เก่าซึ่งมีขุมกำลังที่ดีขึ้นจากชุดที่แล้ว ส่วนบราซิล คือแชมป์โลก 2 ใน 3 ครั้งหลังสุด ซึ่งนำโดยเปเล่ สตาร์ลูกหนังของโลกในยุคนั้น   

หนึ่งในภาพความทรงจำของเกมที่เอสตาดิโอ จาลิสโค กรุงกัวดาลาจาร่า คือช็อตเซฟประตูของกอร์ดอน แบงค์ส ยอดนายด่านสิงโตคำรามที่ป้องกันลูกโหม่งของเปเล่ ได้อย่างเหลือเชื่อ โดยจังหวะเซฟนี้ได้รับการยกย่องว่าติดหนึ่งในลูกเซฟยอดเยี่ยมตลอดกาลของฟุตบอลโลก
       

ส่วนอีกหนึ่งภาพคือหลังจบเกมที่เปเล่และบ็อบบี้ มัวร์ สองตำนานของทั้งสองทีมเดินเข้ามาแลกเสื้อแข่งและพูดคุยด้วยไมตรี ซึ่งเป็นภาพที่สร้างความอบอุ่นให้แก่ทุกคนที่ได้เห็น

5. เยอรมัน ตะวันตก 3-3 ฝรั่งเศส, 1982

  

เกมรอบรองชนะ เวิลด์คัพฉบับกระทิงดุ สองชาติมหาอำนาจยุโรปมาพบกันเอง แม้การไร้ คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้แต่ทัพอินทรีเหล็ก ก็ได้ประตูขึ้นนำทัพตราไก่จากปิแอร์ ลิตต์บาร์คซี่ ก่อนที่นโปเลียนลูกหนัง มิเชล พลาตินี่ จะมาซัดประตูตีเสมอให้กับฝรั่งเศส   

แม้เกมจะเป็นไปด้วยความตึงเครียดเพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีใครอยากตกรอบ แต่จุดที่ทำให้เกมนี้เกิดเรื่องด่างพร้อย พาทริค บาต์ติซง ผู้เล่นฝรั่งเศส เกือบต้องเอาชื่อมาทิ้งที่นี่ ในขณะที่เกมเสมอกัน 1-1 เป็นจังหวะที่เจ้าตัว หลุดเข้าไปพยายามจะทำประตู แต่เขายิงออกข้างไปอย่างน่าเสียดาย   

อย่างไรก็ตามจากจังหวะฟอลโลว์ที่บาต์ติซง จิ้มบอลผ่านตัวฮาราลด์ โทนี่ ชูมัคเกอร์ นายด่านอินทรีเหล็กนั้น ทั้งสองคนปะทะกันอย่างหนักแต่คนที่เจ็บหนักนั้นเป็นบาต์ติซง ซึ่งเมื่อดูจากภาพช้าจะเห็นได้ว่า ชูมัคเกอร์ ตั้งใจด้านส่วนหนาของร่างกายคือด้านข้างของลำตัวเข้าอัดแข้งฝรั่งเศสแบบเต็มๆ   

ซึ่งผลจากการกระทำของผู้รักษาประตูเยอรมัน คือบาต์ติซงนอนนิ่งคาที่ ฟันหักสองซี่, ซี่โครงหัก 3 ท่อน แต่ที่เป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์คือการที่ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ได้ฟาล์วจังหวะนี้เลย ซึ่งชูมัคเกอร์ ก็ไม่โดนบทลงโทษใดๆตามมา ซึ่งสิ่งที่ช้ำหนักของทัพตราไก่คือเมื่อเกมต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ชูมัคเกอร์ กลับเป็นฮีโร่ของทัพอินทรีเหล็ก เซฟสองจุดโทษ พาทีมชาติเยอรมัน ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายเยอรมันก็พ่ายให้กับอิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ

 

หลังจบทัวร์นาเมนต์ สื่อฝรั่งเศสต่างพากันโจมตีจังหวะการเล่นของชูมัคเกอร์ โดยยัดเยียดเขาว่าสมควรได้รับรางวัล อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไปครอง

4. บราซิล 1-7 เยอรมัน, 2014

  

เป็นเกมที่แฟนบอลอินทรีเหล็กจดจำได้ดี แต่ถ้าถามแฟนๆแซมบ้าแล้วพวกเขาคงอยากจะลืมเรื่องราวในเกมนี้ไปให้เร็วที่สุด
       

การไร้สมบัติล้ำค่าของชาติอย่างเนย์มาร์ คือจุดที่ชาวบราซิเลี่ยนหลายคนเป็นห่วงแต่การได้เปรียบจากเสียงเชียร์น่าจะพอทดแทนการขาดหายไปของซูเปอร์สตาร์ประจำทีมได้ แต่เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงแรกเป็นเยอรมันที่ยิงเจ้าภาพไปถึง 5-0 และยิงถึง 4 ประตูในเวลาเพียง 6 นาที 
       

โดยมิโรสลาฟ โคลเซ่ ที่ทำประตูได้ในเกมนี้ได้รับการถูกจดบันทึกว่าเป็นผู้ทำประตูในฟุตบอลโลกมากที่สุดตลอดกาล ส่วนโทนี่ โครส และอันเดรีย ชือร์เร่ จะทำคนสองประตู ด้านโธมัส มุลเลอร์ และซามี่ เคดิร่า จะช่วยทำอีกคนละประตู พาอินเทรีเหล็ก เอาชนะบราซิลไปอย่างขาดลอย 7-1

3. อังกฤษ 4-2 เยอรมัน ตะวันตก, 1966

 

  

สำหรับแฟนบอลเมืองผู้ดี คงไม่มีเวิลด์คัพ ครั้งไหนยิ่งใหญ่ไปกว่าครั้งนี้ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ หลังเอาชนะเยอรมัน ตะวันตก 4-2 คว้าแชมป์โลกได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน   

แต่เรื่องราวเหล่านั้นมาด้วยคำครหาจากประตูของเจฟฟ์ เฮิร์สท์ ที่เป็นคำถามมาตลอดว่าประตูนั้นข้ามเส้นไปหรือยัง?   

เกมนี้อังกฤษ ถูกเยอรมัน ตะวันตก ขึ้นนำไปก่อนจากเฮลมุต ฮอลเลอร์ ในช่วงต้นเกม แต่เพียงไม่กี่อึดใจ เฮิร์สท์ ก็มาตามตีเสมอให้ทัพทรีไลออนส์ และเจ้าภาพมาพลิกขึ้นนำ 2-1 จาก มาร์ติน ปีเตอร์ส ในนาที 78 เกมทำท่าจะจบ 90 นาทีด้วยชัยชนะของอังกฤษ แต่ก่อนหมดเวลาหนึ่งนาทีโวล์ฟกัง เวเบอร์ ยิงตีเสมอให้กับอินทรีเหล็ก 2-2 ทำให้ทั้งสองทีมต้องไปเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ   

และในช่วงต่อเวลาพิเศษนี่เอง ก็เกิดเรื่องดราม่าขึ้นจากประตูขึ้นนำ 3-2 ของเจ้าภาพ เมื่อเฮิร์สท์ ซัดบอลด้วยขวาบอลพุ่งแรงชนคานก่อนบอลจะตกลงบนเส้น ซึ่งโตฟิค บาห์รามอฟ ไลน์แมนชาวโซเวียต ตีธงเป็นสัญญาณให้ประตูแก่อังกฤษ ท่ามกลางเสียงประท้วงของเหล่าผู้เล่นเยอรมัน ว่าบอลยังไม่ข้ามเส้น แต่สุดท้ายเสียงประท้วงนั้นไม่ได้ผล ผู้ตัดสินยืนยันคำบอกของไลน์แมน จึงทำให้ประตูนี้เป็นประตูขึ้นนำของทัพสิงโตคำราม   

จนในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลา เฮิร์สท์ มาซัดแฮตทริกปิดกล่องให้อังกฤษ เอาชนะเยอรมัน ตะวันตกไปได้ 4-2 ท่ามกลางความดีใจของกองเชียร์อังกฤษที่ต่างแห่ลงมาบนพื้นสนามหญ้าของเวมบลี่ย์

 

2. อิตาลี 3-2 บราซิล, 1982   

เป็นอีกหนึ่งแมตช์สุดประทับใจที่แม้จะเกิดขึ้นในรอบแบ่งกลุ่ม รอบสอง แต่ดีกรีความมันไม่แพ้เกมนัดชิงฯหรือรอบตัดเชือกเลย   

เกมแห่งความทรงจำที่เอสตาดิโอ้ ซาร์เรีย นครบาร์เซโลน่า เป็นเหมือนการสู้กันของทีมที่มีเกมรับดีที่สุดเจอกับทีมที่มีเกมรุกดีที่สุด อิตาลี ประกอบไปด้วยดิโน่ ซอฟฟ์ ผู้รักษาประตูชื่อดัง รวมถึงแนวรับภูผาหินอย่าง เคลาดิโอ เจนติเล่ ส่วนบราซิล นำทีมโดย ซิโก้, ฟัลเกา และ คุณหมอยอดนักเตะ โซคราเตส   

ทุกสายตาจับไปที่เปาโล รอสซี่ ยอดกองหน้าอัซซูร์รี่ ที่ยิงเปิดหัวให้อิตาลีขึ้นนำไปก่อน ต่อมาโซคราเตส กัปตันทีมแซมบ้าจะมายิงตีเสมอ และรอสซี่ คนเดิมยิงให้อิตาลีขึ้นนำอีกครั้ง แต่ฟัลเกา ก็มาตามตีเสมอให้กับทัพแซมบ้าอีกรอบ และสุดท้ายเป็นรอสซี่ ที่มาซัดแฮตทริกในเกมนี้ พังประตูชัยให้ทัพมักกะโรนี เอาชนะไปได้ 3-2    

ส่งผลให้อิตาลี ผงาดเข้าสู่รอบน็อกเอาทต์ และก้าวสู่แชมป์โลกสมัยที่สามได้สำเร็จ หลังเอาชนะเยอรมัน ตะวันตก ที่กล่าวไปแล้วในข้อก่อนหน้านี้ นอกจากนี้รอสซี่ ยังคว้าดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์นี้และคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมมาได้อีกหนึ่งรางวัล

1. อิตาลี 4-3 เยอรมัน ตะวันตก, 1970

 

เกมรอบรองชนะเลิศ เกมนี้คือสุดยอดแมตช์ในความทรงจำตลอดกาล ซึ่งเกิดขึ้นต่อหน้าสักขีพยานในสนามกว่า 100,000 คน ที่เมืองเม็กซิโก ซิตี้ โดย 5 จาก7 ประตูที่เกิดขึ้นในเกมนี้ เกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ!   

เริ่มเกมได้เพียง 8 นาที โรแบร์โต โบนินเซญญา ยิงประตูขึ้นนำให้อิตาลี แต่ในช่วงท้ายเกม คาร์ล-ไฮนซ์ ชเนลลิงเกอร์ มาตีเสมอให้ทัพอินทรีเหล็ก นาทีที่ 90 ส่งผลให้ต้องไปลุ้นกันต่ออีก 30 นาที    

ฟร้านซ์ เบคเค่นบาวเออร์ กำลังหลักของเยอรมัน เกิดอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่แต่เฮลมุต ชอน เฮดโค้ชอินทรีเหล็กได้ใช้โควต้าเปลี่ยนตัวครบแล้วนั่นหมายความว่าไกเซอร์ฟร้านซ์ ต้องลงเล่นต่อด้วยอาการบาดเจ็บท่ามกลางความหวังของคนทั้งประเทศ   

อย่างไรก็ดี ในนาที94 เยอรมัน มาได้ประตูขึ้นนำ 2-1 จากยอดกองหน้าประจำทีม แกร์ด มุลเลอร์ แต่อีกสี่นาทีให้หลัง อัซซูร์รี่ ตามตีเสมอได้จากทาร์ชิซิโอ เบอร์นิช จากนั้นจีจี้ ริว่า มายิงให้อิตาลีแซงนำ 3-2    

ทัพอินทรีเหล็กยังไม่ยอมแพ้ เมื่อแข้งฉายาไอ้ลูกระเบิด มายิงตีเสมอ 3-3 แต่จากนั้นไม่นานในขณะที่กล้องทีวีกำลังฉายพร้อมรีเพลย์ประตูของมุลเลอร์ ตัดกลับมา จิอานนี่ ริเวร่า มาซัดประตูขึ้นนำ 4-3 ให้อิตาลี พร้อมกับเป็นประตูชัยของทีม ส่งให้อัซซูร์รี่ ผ่านไปชิงดำกับบราซิล แต่สุดท้ายพวกเขาก็แพ้ให้กับแซมบ้าไปอย่างหมดรูป 1-4

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »