ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ลีกคัพอื่นๆ » เป็นเทรนด์ฮิตหรืออย่างไร? เหล่าแข้งดังผู้หันหลังให้ชาติเร็ว

เป็นเทรนด์ฮิตหรืออย่างไร? เหล่าแข้งดังผู้หันหลังให้ชาติเร็ว

Posted 17/08/2018 by siamsport

หลังจากจบศึก ฟุตบอลโลก 2018 ไปแล้วนั้น มันก็มีนักเตะออกมาประกาศอำลาการเล่นให้ทีมชาติมากมายก่ายกอง อย่างเช่น เมซุต โอซิล ที่บอกลา เยอรมนี ในวัยเพียง 29 ปี เป็นต้น ขณะที่ โรเมลู ลูกากู ก็เพิ่งบอกเองว่าวางแผนจะบอกลา เบลเยียม ตอนจบศึก ยูโร 2020 ทั้งที่ตอนนี้เขาเพิ่งมีอายุแค่ 25 ปีเท่านั้น
     อย่างไรก็ตาม การที่นักเตะบอกลาทีมชาติแบบเร็วเกินไปมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะก่อนหน้านี้มันก็มีคนทำแบบนั้นหลายราย ซึ่งวันนี้เราจะมานำเสนอ 7 คนดังๆ ที่เข้าข่ายนั้น

    ทั้งนี้ ขอชี้แจงก่อนว่าเราจะไม่นับคนที่บอกลาทีมชาติในปีนี้ และไม่ขอนับรวมคนที่เคยบอกลาทีมชาติไป ก่อนที่จะกลับมาเล่นต่อด้วย นอกจากนี้ คนที่เลิกเล่นทีมชาติผ่านทางการแขวนสตั๊ดก็จะไม่เข้าข่ายในลิสต์นี้เหมือนกัน

    - ฟร้องค์ ริเบรี่ (ฝรั่งเศส 31 ปี)


    ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ริเบรี่ คือปีกชั้นยอดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน และก่อนหน้านี้เขาก็แทบจะการันตีการเป็นตัวหลักของทีมชาติฝรั่งเศสด้วยซ้ำ ซึ่งหลายคนก็มองว่าเขาจะทำให้ "เลส์ เบลอส์" ประสบความสำเร็จได้

    น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดแล้ว ริเบรี่ ไม่เคยได้แชมป์อะไรกับฝรั่งเศสเลย โดยผลงานที่ดีที่สุดของเขากับบ้านเกิดคือการได้รองแชมป์ ฟุตบอลโลก 2006 ก่อนที่เขาจะประกาศอำลาทีมชาติในปี 2014 หลังจากไม่มีชื่อติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดลงเล่นศึก ฟุตบอลโลก 2014 พร้อมกับชี้แจงว่า "มันเป็นเหตุผลส่วนตัว

    - ฟิลิปป์ ลาห์ม (เยอรมนี 30 ปี)


   การจะบอกว่า ลาห์ม คือหนึ่งในนักเตะที่กุนซือทุกคนอยากมีอยู่ในทีมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะเขาสามารถเล่นได้ทั้งแบ็กซ้ายและแบ็กขวา แถมยังถูกดันมาเล่นเป็นกองกลางก็ยังไหว รวมถึงมีความเป็นมืออาชีพสูงมากๆ อีกต่างหาก

    ด้วยเหตุนี้ แฟนบอลชาวเยอรมันหลายคนจึงเสียดายพอตัวที่เขาบอกลาการเล่นให้บ้านเกิดเมื่อปี 2014 หรือก็คือหลังจากที่ช่วยให้ เยอรมนี ได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 มาครอง การบอกลาทีมของ ลาห์ม ส่งผลเสียต่อทีมแชมป์โลก 4 สมัยอย่างมาก เพราะจนถึงตอนนี้ "อินทรีเหล็ก" ยังหาคนที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับเขาไม่ได้เลย

    - ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ (อิตาลี 30 ปี)


    เดิมทีหลังจากได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 2006 กับทีมชาติอิตาลีแล้วนั้น ต๊อตติ ก็มีความตั้งใจที่จะอำลาทีมชาติทันที แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะขอเวลาพิจารณาทางเลือกอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะหันหลังให้กับ อิตาลี อย่างเป็นทางการในปี 2007

    ที่จริงแล้วหลังจากนั้น ต๊อตติ ก็ให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่าอาจจะยอมกลับมาช่วยทีมเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยได้สวมชุดแข่งของทีมแชมป์โลก 4 สมัยอีกเลย

    - อลัน เชียเรอร์ (อังกฤษ 29 ปี)


    "ฮอตชอต" ถือเป็นกองหน้าตัวความหวังของแฟนบอลชาวอังกฤษในช่วงทศวรรษ 90 โดยหลังจากได้ลงเล่นให้บ้านเกิดเป็นครังแรกด้วยวัย 22 ปี ในปี 1992 แล้วนั้น เชียเรอร์ ก็ทำประตูได้เยอะในระดับหนึ่ง รวมถึงอยู่ในชุดที่ "สิงโตคำราม" ไปถึงรอบรองชนะเลิศของ ยูโร 1996 ด้วย

    น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดแล้ว เชียเรอร์ ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรให้ อังกฤษ ได้เลย ก่อนที่จะบอกลาทีมในปี 2000 ด้วยผลงาน 30 ประตู จากการลงเล่น 63 นัด

    - พอล สโคลส์ (อังกฤษ 29 ปี)

    หนึ่งในกองกลางที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดของ อังกฤษ ในรุ่นของเขา สโคลส์ มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผ่านบอล, การยิงไกล, การเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาด และการมีเทคนิคที่น่าทึ่ง ซึ่งหลายคนก็มองว่าเขาจะเป็นกำลังหลักให้กับประเทศชาติได้

    อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม ปี 2004 สโคลส์ ก็ทำให้วงการลูกหนังต้องช็อก หลังจากที่ประกาศอำลาทีมชาติอังกฤษ ด้วยการบอกว่าอาชีพการเล่นของเขากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเรื่องครอบครัวมันสำคัญกว่า

    - แกร์ด มุลเลอร์ (เยอรมัน ตะวันตก 28 ปี)


   มุลเลอร์ ถือเป็นสุดยอดกองหน้าของ เยอรมัน ตะวันตก การเคยเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่ง ฟุตบอลโลก ทุกสมัยรวมกันเป็นเวลา 32 ปีคือหลักฐานที่บ่งบอกถึงเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี

    ทั้งนี้ ถึงแม้เขาจะได้เล่น ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เพียงแค่ 2 สมัย นั่นคือในปี 1970 กับ 1974 แต่เขาก็ทำประตูได้รวมกันถึง 14 ลูกเลยทีเดียว โดยเจ้าตัวบอกลาการรับใช้บ้านเกิดหลังจากช่วยให้ เยอรมัน ตะวันตก ได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 1974 โดยว่ากันว่าสาเหตุเป็นเพราะไม่พอใจที่บรรดาภรรยาของนักเตะไม่ได้รับอนุญาตให้มาร่วมงานฉลองหลังได้แชมป์

    - ซามีร์ นาสรี่ (ฝรั่งเศส 27 ปี)


    ถ้าพูดกันถึงเรื่องฝีเท้าแล้วล่ะก็ นาสรี่ ก็นับเป็นนักเตะชั้นยอดคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็มีปัญหาเรื่องวินัยในระดับหนึ่ง จนถึงขนาดทำให้ ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ตัดสินใจไม่เรียกเขาติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดลงเล่น ฟุตบอลโลก 2014

    เรื่องดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง นาสรี่ กับ เดส์ชองส์ เลวร้ายถึงขีดสุด ก่อนที่สุดท้าย นาสรี่ จะตัดสินใจว่าเขาไม่อยากเล่นให้ "เลส์ เบลอส์" อีกแล้ว พร้อมกับหันหลังให้ทีมชาติในวันที่ 9 สิงหาคม ปี 2014

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • 9ซุปตาร์ฟุตบอลชายเอเชียนเกมส์2018
    ฟุตบอลชาย ถือเป็นกีฬาไฮไลท์ในเอเชียนเกมส์2018ที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพ ... เรามาดูกันว่า บรรดาซุปตาร์ ที่โด่งดังเปรียบดั่งซุปตาร์วงการลูกหนังเอเชีย จะมีใครบ้างที่มาวาดลวดลายในครั้งนี้
  • จับตา! บิ๊กดีลต่อไปที่อาจเกิดขึ้นในตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้
    แม้ว่าตลาดนักเตะในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะปิดตัวลงไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้จะไม่ได้เห็นนักเตะชื่อดังย้ายสู่ลีกเมืองผู้ดีอีกแล้ว แต่ 4 ลีกใหญ่ในยุโรปตลาดซื้อ-ขายนักเตะจะปิดตัวลงในช่วงสิ้นเดือนนี้ และนี่คือบิ๊กดีลที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นหลังจากนี้
  • ฝรั่งเศสที่1โลก-เยอรมันวูบหนักมาก!
    แชมป์โลกหมาดๆ "ตราไก่" ทะยานครองเบอร์ 1 โลกในทำเนียบการจัดอันดับของ ฟีฟ่า ไปตามระเบียบ ด้าน "อินทรีเหล็ก" ตกบัลลังก์เจ้าโลกลูกหนังอย่างเจ็บปวดไม่พอ ยังรูดมหาราชลงไปอยู่ที่ 15 ส่วน "สิงโตคำราม" ขยับรั้งเบอร์ 6
  • คอสต้าเบิ้ล! แอตมาดริดต่อเวลาบี้เรอัลมาดริดผงาดแชมป์ซูเปอร์คัพ
    ดีเอโก้ คอสต้า เล่นได้สุดแสบจริงๆในเกมนี้หลังซัดนำแต่ไก่โห่ ก่อนจะยิงไล่ตีเสมอช่วงท้ายเกมตามเจ๊า เรอัล มาดริด 2-2 และในช่วงต่อเวลาพิเศษจะมาได้ ซาอูล ญีเกซ และโกเก้ ยิ่งเพิ่มให้ "ตราหมี" เอาชนะราชันชุดขาว 4-2 ผงาดแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ สมัยที่ 3 มาครองได้สำเร็จ เมื่อวันพุธที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »