ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » 4นักเตะลิเวอร์พูลที่คล็อปป์เปลี่ยนตำแหน่งจนได้ดี

4นักเตะลิเวอร์พูลที่คล็อปป์เปลี่ยนตำแหน่งจนได้ดี

Posted 31/08/2018 by siamsport

ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งครั้งใหญ่ภายใต้การกุมบังเหียนของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่ก่อนที่จะถึงช่วงซัมเมอร์นี้ เขาไม่ได้ลงทุนมากนักในการเสริมทัพ โดยตอนนั้น กุนซือชาวเยอรมัน พาทีมเข้ารอบชิงฟุตบอลถ้วย 2 รายการกับซีซั่นเปิดตัวของเขาทั้งๆ ที่ขุมกำลังก็ไม่ได้ดีมากนัก
    อดีตนายใหญ่ "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ใช้ประโยชน์จากมรดกที่ เบรนดอน ร็อดเจอร์ส ทิ้งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันนักเตะที่เขาเซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทีมก็โดนจับไปเล่นในตำแหน่งอื่นๆ หรือบทบาทที่มากกว่าที่พวกเขาเคยเล่นกับสโมสรก่อนหน้านี้

    ยกตัวอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เล่นในตำแหน่งปีกขวามาตลอดก่อนย้ายมาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ และโดยปกติแล้วเขาก็เล่นในตำแหน่งนี้ให้กับ "หงส์แดง" อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ได้สร้างระบบใหม่ซึ่งทำให้ แข้งแดนมัมมี่ ต้องขยับขึ้นไปเล่นหน้ามากขึ้น และเจ้าตัวก็ทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ (การันตีด้วยตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ซีซั่นที่ผ่านมา และรางวัลส่วนตัวเพียบ)


    ขณะที่ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางให้ อาร์เซน่อล แต่ ลิเวอร์พูล ปรับระบบใหม่เพื่อให้เหมาะกับคุณสมบัติของเขา ทั้ง ซาลาห์ และ แชมเบอร์เลน เป็นตัวอย่างนักเตะที่ได้ประโยชน์จากระบบของ คล็อปป์ มากกว่าการเปลี่ยนตำแหน่งของพวกเขา

     4 นักเตะตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ที่เปลี่ยนตำแหน่งการเล่นแล้วประสบความสำเร็จภายใต้การคุมทัพของ คล็อปป์ ซึ่งช่วยให้พวกเขาระเบิดฟอร์มสุดยอดในเวลานี้

1. จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม

 


    ก่อนหน้าที่  จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม จะย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล เขามักถูกจับให้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก หรือปีก แต่จริงๆ แล้วเขาก็ทำได้ดีมากๆ ในบทบาทเหล่านั้น

    สำหรับ อดีตดาวเตะพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ซึ่งซัดไปเบาะๆ 56 ประตูจากการเล่น 152 เกม ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และเพียงซีซั่นเดียวกับ "สาลิกาดง" เจ้าตัวยิงไป 11 ลูกและทำ 5 แอสซิสต์ จากการเล่น 38 แมตช์ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    เมื่อ คล็อปป์ เซ็นสัญญากับ ไวนัลดุม ในปี 2016 มีการคาดเดากันว่าเขาคงจะโดนจับไปเล่นเป็นปีก หรือเพลย์เมกเกอร์ แต่กลายเป็นว่า ดาวเตะเลือดดัตช์ ถูกจับไปเล่นในตำแหน่งเบอร์ 8 หรือมิดฟิลด์ตัวคุมเกม เขาเป็นหนึ่งในกองกลางที่สามารถลงมาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับก็ได้ และสำหรับซีซั่นแรกกับ "เดอะ เร้ดส์" เจ้าตัวทำผลงานซัด 6 ประตูและ 11 แอสซิสต์จากการเล่นทุกรายการ


    ไวนัลดุม ยังคงเล่นในบทบาทเดิมในฤดูกาล 2017-18 แต่อาการบาดเจ็บ และการต้องพักผู้เล่นบางคนทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องใช้ แข้งดัตช์ในตำแหน่งกองกลางตัวรับในช่วงท้ายซีซั่น และเขาก็เล่นได้น่าประทับใจในเกมดาร์บี้แมตช์พบ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน

    การที่ ไวนัลดุม ถูกจับให้เป็นมิดฟิลด์ตัวรับดูเหมือนจะเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวโดยเฉพาะการที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่ สามารถเล่นในตำแหน่งดังกล่าวได้ แต่ คล็อปป์ เลือกที่จะใช้เขาในบทบาทนี้ต่อไปช่วง 3 เกมแรกของซีซั่น 2018-19 และดาวเตะวัย 27 ปีโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น จนทำให้ เฮนโด้ กับ แข้งบราซิเลียน ต้องเจอสถานการณ์ที่แสนยากลำบากในการสอดแทรกเป็นตัวจริง

2. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน


    ในฤดูกาล 2016-17 เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนระบบการเล่นจาก  4-2-3-1 เป็น 4-3-3 โดยในช่วงระหว่างเล่นเกมปรีซีซั่น 11 ตัวจริงที่ กุนซือด๊อยท์ช ใช้สร้างความงุนงงมากๆ เมื่อมี 3 แข้งทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรุก และมีเพียงคนเดียวที่เล่นตำแหน่งกลองบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ หรือมิดฟิลด์ตัวคุมเกม

    หลังจากนั้น คล็อปป์ ได้เปลี่ยนตำแหน่งของนักเตะหลายคน และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน โดนจับไปเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ร่วมกับ อดัม ลัลลาน่า และ จิจี้ ไวนัลดุม ที่เล่นเคียงข้างเขา นี่เป็นแผงกองกลางเดียวกับที่เขาใช้ในซีซั่นแรก (2016-17 คุมทีมเต็มฤดูกาลครั้งแรก) ที่คุมทัพ "หงส์แดง"


    คล็อปป์ มี ลูคัส เลว่า กับ เอ็มเร่ ชาน อยู่ในทีมเวลานั้น และทั้งสองคนก็สามารถเล่นในตำแหน่งเบอร์ 6 ได้ แต่เขาอยากใช้กัปตันทีม "เดอะ เร้ดส์" ลงเล่นตำแหน่งนี้เพราะความสามารถในการต่อบอล และครองบอล โดย เฮนเดอร์สัน ไม่ใช่แค่มีสถิติในการผ่านบอลที่ดีเยี่ยมในลีกเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้นำตัวจริง "เฮนโด้" เป็นนักเตะคนแรกที่ผ่านบอล 2,000 ครั้งในลีกจากการเล่นแค่ 24 เกม แต่น่าเสียดายยที่ได้ลงสนามไม่เยอะในซีซั่น 2016-17 เพราะมีปัญหาบาดเจ็บ

    การย้ายตำแหน่งของ เฮนเดอร์สัน มาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ช่วย ลิเวอร์พูล และ อังกฤษ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

3. เจมส์ มิลเนอร์


    เจมส์ มิลเนอร์ เป็นนักเตะที่ได้ชื่อว่าสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง แต่เขาสามารถแบบรับสิ่งเหล่านี้ได้เพิ่มมาขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้การทำงานร่วมกับเจอร์เก้น คล็อปป์

    มีนักเตะเพียงไม่กี่คนจากยุคของ เบรนดอน ร็อดเจอร์ส ที่ยังอยู่รอดภายใต้การเปลี่ยนแปลงทีมมาสู่มือของ คล็อปป์ แต่ มิลเนอร์ ไม่ใช่แค่รอดพ้นจากการโดนขายทิ้งเท่านั้น เขายังสามารถสอดแทรกเป็นตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอ
 
    มิลเนอร์ ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2015 มาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ เพราะอยากลงสนามในตำแหน่งที่ชื่นชอบนั่นก็คือมิดฟิลด์ตัวกลาง เขาเคยเล่นตำแหน่งนี้มาแล้ว 2-3 ครั้งสมัยที่ ร็อดเจอร์ส คุมทัพ "หงส์แดง" แต่หลังจากที่ คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน มิลเนอร์ โดนขยับไปเล่นวิงแบ็ก เพราะทีมขาดตัวเลือกในตำแหน่งดังกล่าว


    ในฤดูกาล 2016-17 ดาวเตะเลือดผู้ดี ได้ลงเล่นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอให้กับทีม โดยเขาลงสนาม 36 จาก 38 เกมลีก อย่างไรก็ตาม มิลเนอร์ ไม่ได้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางหรือปีก เขาโดนจับไปเล่นแบ็กซ้ายตลอดทั้งฤดูกาลนั้น ทั้งๆ ที่เขาถนัดเท้าขวา แต่ก็ยังเป็นตัวเลือกแรกสำหรับ คล็อปป์ มากกว่า อัลแบร์โต้ โมเรโน่ แข้งซ้ายธรรมชาติเลือดสแปนิชด้วยซ้ำ

    ดาวเตะวัย 32 ปี มีข้อจำกัดในการสวมบทแบ็กซ้าย แต่เขาก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม และช่วย ลิเวอร์พูล ได้ตั๋วไปลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จในซีซั่นนั้น เขามีสถิติการผ่านบอล 2,168 ครั้งตลอดฤดูกาลดังกล่าวซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 5 ในลีก โดย มิลเนอร์ ได้กลับมาเล่นในตำแหน่งกองกลางอีกครั้งเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และทำลายสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อ 1 ซีซั่น ( 9 ครั้ง 2017/18)

 4. โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่


    การปรับเปลี่ยนตำแหน่งของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เป็นหนึ่งในผลงานที่ดีเยียมที่สุดของ คล็อปป์ ในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล

    ดาวเตะชาวบราซิเลียนลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกให้กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ แต่เพราะความไม่สมดุลในขุมกำลังลิเวอร์พูลเมื่อ คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน และการขาดกองหน้าที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ นายใหญ่แดนไส้กรอก ต้องใช้งาน "ฟีร์มี่" เป็นหน้าเป้าชั่วคราวในฤดูกาล 2015-16 (เข้ามาคุมกลางซีซั่น)

    จากนั้นในต้นฤดูกาล 2016-17  คล็อปป์ จับ ฟีร์มีโน่ เล่นตำแหน่งกองหน้าถาวร ดาวเตะแซมบ้า ทำหน้าที่เป็นหน้าเป้าโดยมี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กับ ซาดิโอ มาเน่ เล่นด้านข้าง สำหรับซีซั่นแรกกับบทบาทใหม่เจ้าตัวซัดไป 12 ประตู และ 8 แอสซิสต์ จากการเล่น 41 แมตช์ อย่างไรก็ตามมีหลายเกมที่เขาโดนโยกไปเล่นแนวรุกริมเส้นด้วย


    สำหรับในฤดูกาล 2017-18 ทุกๆ คนได้เห็นฟอร์มที่ดีที่สุดของ ฟีร์มีโน่ ในตำแหน่งกองหน้าพร้อมกับซัดไป 27 ประตูและ 15 แอสซิสต์จากการเล่น 54 เกม อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่เรื่องการทำประตูที่ทำให้ ฟีร์มีโน่ เป็นหน้าเป้าที่เพอร์เฟกต์สำหรับระบบของ คล็อปป์ เท่านั้น แต่ความขยัน, การไล่เพรสซิ่ง และยังมักขยับลงลึกเพื่อนำบอลขึ้นไปบุกให้ทีมด้วย ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ มาเน่

    ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ ฟีร์มีโน่ เข้าประทับสำเร็จมากกว่านักเตะกองหลังของสโมสรท็อปซิกซ์ ยกเว้น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • จบยาก!ส.บอลอียิปต์สวนซาลาห์ไม่มีใครใหญ่กว่าทีม
    สมาคมฟุตบอลอียิปต์ออกมาตอบโต้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ว่าเขาไม่ได้ใหญ่ไปกว่าทีมหรือกว่าเกมฟุตบอล พร้อมระบุ เจ้าตัวไม่ควรได้รับการปฏิบัติพิเศษไปกว่านักเตะคนอื่นๆ ในทีมชาติอียิปต์
  • มาเน่มั่นใจลิเวอร์พูลไปโลดแน่นอนในชปล.ซีซั่นนี้
    ซาดิโอ มาเน่ หัวหอกตัวเก่ง ลิเวอร์พูล มั่นใจต้นสังกัดสามารถทำผลงานได้ดีอีกครั้งในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ หลังทะลุถึงรอบชิงเมื่อฤดูกาลที่แล้ว บอก "หงส์แดง" ได้เรียนรู้อะไรมากมาย และมีคุณภาพพอที่จะประสบความสำเร็จในรายกานี้
  • ไม่ใช่รักแรก!คล็อปป์อยากได้โอบลัคมากกว่าอลีสซง
    อาส สื่อของสเปน ระบุ ตอนแรก เจอร์เก้น คล็อป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ต้องการได้ ยาน โอบลัค มาเป็นมือกาวให้ทีมมากกว่า อลีสซง แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นนายด่านชาวบราซิเลียนเพราะ โอบลัค ไม่อยากย้ายทีม
  • ชากิรี่ลั่นพร้อมลงสนามหากคล็อปป์เปลี่ยนทีม
    เซอร์ดาน ชากีรี่ มิดฟิลด์เลือดสวิสของ ลิเวอร์พูล พร้อมเสมอหาก เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทีม โดยตนสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก และยันสไตล์การเล่นของ กุนซือเลือดเบียร์ เหมาะกับตนมากๆ

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »