อาร์เซน่อล ไม่ทำให้แฟนบอลของพวกเขาต้องผิดหวังเมื่อพวกเขาเปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทุบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-0 เกมมันเดย์ไนท์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และส่งให้พวกเขาพุ่งทะยานฟ้าแซงหน้า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยึดอันดับ 3 ได้อย่างสุดยอด

นอกจากผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว ฟอร์มการเล่นของ อารอน แรมซี่ย์ ก็สุดยอดเช่นกัน งานนี้คงทำให้แฟนบอล "เดอะ กันเนอร์ส" คงเสียดายที่นักเตะจะไม่ได้อยู่ช่วยทีมในฤดูกาลหน้า แต่ถือเรื่องดีงสำหรับ ยูเวนตุส ที่ได้กองกลางชั้นดีแบบไม่ต้องเสียตังค์ซักยูโร

กระนั้นสิ่งที่ดีเยี่ยมอีกเรื่องก็คือการเล่นได้อย่างเข้าขารู้ใจระหว่าง  อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ กับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง โดยเมื่อทั้งสองคนได้จับคู่เพชฌฆาตช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายในเกมนี้ ทำให้แนวรับทีมเยือนปั่นป่วนไปหมด ที่สำคัญประตูที่สองของทีม ได้มาจากการประสานงานที่ยอดเยี่ยมจากทั้งคู่จริงๆ

1. อารอน แรมซี่ย์ ยอดเยี่ยม เสียดายไหมล่ะ ?
ทุกครั้งที่ แรมซี่ย์ ลงสนามให้กับ อาร์เซน่อล บรรดาสาวก "เดอะ กันเนอร์ส" ต่างภาวนาว่าพวกเขาจะได้เห็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมจากนักเตะรายนี้ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรต้องผิดหวัง เพราะ ดาวเตะชาวเวลส์ เล่นได้อย่างโดดเด่นโดยเฉพาะในครึ่งแรกที่เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

ช่วง 45 นาทีแรก แรมซี่ย์ มีสถิติสุดยอดมากๆ โดยจับบอลมากที่สุด (70 ครั้ง), ผ่านบอลเยอะสุด (56 ครั้ง), แย่งบอลคืนมากสุด (10 ครั้ง), เสียบสกัดเยอะสุด (2 ครั้ง) และยิงมากสุด (2 ครั้ง) โดยรวมแล้วเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นด้วยการผ่านบอลได้อย่างแม่นยำ 97 เปอร์เซ็นต์ และสัมผัสบอลตลอดทั้งเกมที่ลงเล่น 87 ครั้ง

แถมยังเป็นผู้เบิกประตูนำร่องให้กับ อาร์เซน่อล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สุดยอดยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ลองคิดดูซิว่าถ้า แรมซี่ย์ ทำผลงานได้แบบนี้ในเมืองตูริน กับ ยูเวนตุส มันจะยอดเยี่ยมมากแค่ไหนกับการย้ายมาเล่นให้ "ม้าลาย" แบบไม่มีค่าตัวสำหรับวงการลูกหนังสมัยใหม่ เฉกเช่น อันเดรีย ปีร์โล่ (ย้ายจาก เอซี มิลาน มาอยู่กับ ยูเวนตุส) กับ โซล แคมป์เบลล์ (ย้ายจาก สเปอร์ส มาอยู่ อาร์เซน่อล)

2. ลากาแซ็ตต์ กับ โอบาเมย็อง  เล่นเข้าขารู้ใจ 
ช่วงชั่วโมงแรกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการไม่มี  อเลซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ กับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ลงสนามพร้อมกันทำให้ทีมมีปัญหาเรื่องการเจาะตาข่ายคู่แข่ง แต่หลังจากที่พวกเขาได้มีโอกาสทำงานร่วมกันขอบอกว่าแนวรับ นิวคาสเซิ่ล เอาไม่อยู่จริงๆ

หัวหอกทีมชาติกาบอง เป็นดาวซัลโซสูงสุดประจำทีม ไม่ได้ถูกจับส่งลงเล่นตัวจริงในเกมดวล "สาลิกาดง" อย่างไรก็ตาม อูไน เอเมรี่ จำเป็นต้องส่ง โอบาเมยอง ลงสนามในช่วง 30 นาทีสุดท้าย เพื่อหวังจะให้นักเตะสร้างสรรค์โอกาสทำประตูเพิ่ม

แน่นอนว่าความรวดเร็ว และความฉลาดหลักแหลมของ อดีตหัวหอก "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มีส่วนสำคัญกับผลงานของ ลากาแซ็ตต์ โดยพวกเขาประสานงานกันอย่างเข้าขารู้ใจ โดยเฉพาะในจังหวะที่ "ไอ้ปืนใหญ่" ได้ประตูหนีห่าง 2-0

จังหวะดังกล่าวเริ่มต้นที่ มัตเตโอ เกนดูซี่ ที่ฝากบอลให้ ลากาแซตต์ ซึ่งดีดบอลต่อให้ โอบาเมย็อง ที่กระโดดขึ้นโขกเช็ดบอลให้ หัวหอกเลือดเฟร้นช์ หลุดเข้าไปยกบอลผ่าน มาร์ติน ดูบราฟก้า เข้าไปอย่างเหนือชั้น เป็นประตูให้ อาร์เซน่อล ผ่อนคลาย และยังเป็นสกอร์ที่ 13 ในลีกของอดีตแข้ง โอลิมปิก ลียง ด้วย

   
3. สกอร์นำ 1-0 อาร์เซน่อล ไม่แพ้
ถ้าหากได้ยินเสียงแฟนบอลอาร์เซน่อล ตะโกนว่า "อาร์เซน่อล นำ 1-0 แล้ว" เราๆ ท่านๆ สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่าทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" ภายใต้การกุมบังเหีนของกุนซืออูไน เอเมรี่ รวมทั้ง อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานนายใหญ่เลือดเฟร้นช์ จะไม่แพ้แน่นอนในแมตช์นั้นๆ 

อาร์เซน่อล ชนะ 36 แมตช์ และเสมอ 2 เกม จาก 38 แมตช์ล่าสุดในเกมพรีเมียร์ลีกที่พวกเขายิงประตูขึ้นนำที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แม้แต่สมัย เวนเกอร์ ครองอำนาจก็ตาม โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาแพ้ในบ้านตัวเองย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2016 แมตช์พ่าย ลิเวอร์พูล 3-4

ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะสนามเหย้าของ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ถือเป็นดินแดนที่สุดแกร่งสำหรับพวกเขา โดยทีมคว้าชัยชนะ 10 แมตช์รวดกับการเล่นเกมลีกในถิ่นตัวเองในฤดูกาลเดียว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ทำได้เมื่อเดือนพฤษภาคม 1998

ในทางกลับบ้าน โชคชะตาของ "สาลิกาดง" นิวคาลเซิ่ล ยูไนเต็ด ไม่ได้เหมือนกับ อาร์เซน่อล เพราะตอนนี้พวกเขาเพิ่มสถิติแพ้ 76 เกมกับการบุกมาเยือนกรุงลอนดอน นับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งเกม พรีเมียร์ลีก ขึ้นมา
 

4. อันดับ 3 แล้วจ้า
หลังจากที่ปล่อยให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝันหวานคาราโอเกะกับการลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนนี้ได้เวลาที่แฟนบอล "ปืนโต" ส่งเสียงเฮลั่นสนั่นกรุงลอนดอน เพราะพวกเขาแซงหน้าทั้งสองสโมสรขึ้นไปรั้งอันดับ 3 อย่างสง่าผ่าเผย

เมื่อช่วงต้นปี 2019 ดูเหมือนว่า อาร์เซน่อล จะเริ่มฟอร์มแผ่ว และหลุดจากท็อปโฟร์ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่ สเปอร์ส ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ฟอร์มร้อนแรงนับตั้งแต่ที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก้าวเข้ามาทำทีมแทนโชเซ่ มูรินโญ่ จนกระทั่งทำคะแนนเบียดลุ้นพื้นที่โควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

หลังจากที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-3 เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นพวกเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น โดยคว้า 3 คะแนนถึง 5 แมตช์ และเสมอ 1 เกมเท่านั้น ส่งผลให้ในเวลานี้ทีมมี 63 คะแนนแซง "ไก่เดือยทอง" ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 เรียบร้อยแล้ว โดยมี แมนฯ ยูไนเต็ด หล่นไปอยู่อันดับ 5 มี 61 คะแนนเท่ากับ สเปอร์ส