ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ศึกศักดิ์ศรียอมไม่ได้! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล รับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด

ศึกศักดิ์ศรียอมไม่ได้! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล รับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด

Posted 19/01/2020 by siamsport

ศึก "แดงเดือด" วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ ต้องบอกว่าเป็นเกมที่น่าสนใจมากๆ เพราะ ลิเวอร์พูล จะยังคงเดินหน้าไล่ล่าเก็บแต้มแบบไร้พ่ายต่อไป หรือจะโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มาเยือนพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะหยุดความซ่าของเจ้าบ้านให้ได้

    เกมนี้ "เดอะ เร้ดส์" มีข่าวดีพอสมควรเมื่อ โฌแอล มาติป และ ฟาบินโญ่ หายเจ็บแล้ว ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ จะจับลงเล่นหรือไม่ ต้องลุ้นกันต่อไป ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาก็มีข่าวดีเช่นกันเพราะมีรายงานว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะเดินทางมาชมเกมนี้ถึงแอนฟิลด์ เพื่อเป็นกำลังให้ "ปีศาจแดง"

    สำหรับแมตช์นี้แน่นอนว่า คล็อปป์ หมายมั่นปั้นมือที่จะเอาชนะคู่อริตลอดกาลให้ได้ ไม่ใช่เพราะต้องการสร้างสถิติไร้พ่ายต่อไป แต่เป้าหมายสำคัญคือการรักษาระยะห่างจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เลสเตอร์ ซิตี้ ในขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา หวังที่จะกระตุ้นลูกทีมปราบ "หงส์แดง"ให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่การทำให้คู่อริร่วมงานชาติสะดุดเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้กับพวกเขาทำอันดับขึ้นไปอยู่ท็อปโฟร์ด้วย

 

1. ฟาน ไดค์-โกเมซ สู้ความเร็ว แรชฟอร์ด
    ช่วงต้นฤดูกาลนี้หลายคนสงสัยศักยภาพของ มาร์คัส แรชฟอร์ด เนื่องจากเจ้าตัวฟอร์ไม่คงเส้นคงวา แถมยังตัดสินใจอะไรก็ไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้นักเตะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารไปเรียบร้อยแล้ว โดยสถิติซัด 14 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ จาการเล่น 22 เกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

    ตอนนี้ แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และเขาน่าจะมีบทบาทสำคัญในเกม "แดงเดือด" สุดสัปดาห์นี้ แม้สาวก "เร้ด อาร์มี่" จะหวาดหวั่นใจอยู่บ้างในเรื่องอาการบาดเจ็บหลังของเขาก็ตาม แต่ โซลชา ยังคาดหวังว่านักเตะน่าจะฟิตทันเกมที่แอนฟิลด์

 

 

    จะว่าไปแล้ว แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่มีสถิติดีมากๆ ในการดวลกับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีก เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยยิง 2 ประตูในการปะทะกับพวกเขา และก็เพิ่งทำได้อีกครั้งแมตช์เสมอกัน 1-1 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกมลีกช่วงต้นฤดูกาลนี้

    แน่นอนว่าหาก "หนูแรช" ได้ลงเล่นตัวจริง เขาจะต้องสู้กับหนึ่งในทีมที่มีเกมรับที่แกร่งที่สุดในยุโรป โดยคู่หูเซนเตอร์แบ็ก "หงส์แดง" อย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โจ โกเมซ อาจจะทำผลงานร่วมกันได้ดีเมื่อช่วยทีมไม่เสียประตูกับการเล่น 6 เกมลีกที่ผ่านมา   

    กระนั้นในแมตช์ที่เฉือนชนะ สเปอร์ส พวกเขาแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนในการรับมือ ซน ฮึง-มิน กับ โล เซลโซ่ ซึ่งทั้งสองคนเกือบมีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่น่าเสียดายที่ไม่เฉียบคมในการทำประตู แน่นอนว่าการที่ทั้งสองคนต้องปะทะกับ แรชฟอร์ด หากพวกเขาปล่อยให้ ดาวเตะเลือดผู้ดี มีโอกาสยิงประตู ก็มีสิทธิ์ต้องน้ำตาตกได้เช่นกัน
 


2. เจ้าหนูเทรนต์ พร้อมงัดฟอร์มเด็ดใน "แดงเดือด"
    เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพิ่งได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือนธันวาคม โดยหนึ่งในฟอร์มที่โดดเด่นของเขาในช่วงเวลานั้นก็คือการช่วยต้นสังกัดบุกถล่ม "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ 4-0 โดยเขายิง 1 ประตูกับทำ 2 แอสซิสต์

    แบ็กขวาวัย 21 ปีมีจุดเด่นในเรื่องการเติมเกมบุก และสามารถทำแบบนั้นได้ตลอดในฤดูกาลนี้ มีเพียงแค่ เควิน เดอ บรอยน์ (76) และ เอมิเลียโน่ บูเอนเดีย (64) ที่สร้างโอกาสในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (60) ขณะที่ จอมทัพทีมชาติเบลเยียม จาก แมนฯ ซิตี้ เป็นนักเตะคนเดียวเท่านั้นที่ทำแอสซิสต์ได้มากกว่าเขา

 

    ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 66 สร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างต่อเนื่องจากการเล่นทางกราบขวา โดยมีค่าเฉลี่ยในการสร้างโอกาส 2.9 ครั้งต่อเกม ซึ่งมากกว่าบรรดาผู้เล่นกองหลังคนอื่นๆ ใน 5 ลีกชั้นนำของยุโรป รวมทั้ง โจชัว คิมมิช (2.5 ครั้งต่อเกม) ที่ใกล้เคียงกับ เทรนต์ ที่สุด แต่ 11 จาก 17 เกมในบุนเดสลีกา คิมมิช ถูกจับไปเล่นกองกลาง

    งานนี้แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องระวังอาวุธหนักในการเติมเกมรุกของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เอาไว้ให้ดีๆ เพราะเขาไม่ใช่แค่มีดีในการเปิดบอลจากริมเส้น หรือลูกตั้งเตะเท่านั้น แต่ยังมีทีเด็ดในการยิงลูกฟรีคิกด้วย ฉะนั้นหากละสายตายเพียงนิดเดียว ได้เจอทีเด็ดของ "เจ้าหนูเทรนต์" แหงๆ
 


3. วัดใจแดนกลาง
    สาวก "เร้ด อาร์มี่" อาจจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับขุมกำลังแดนกลางเนื่องจากนักเตะสำคัญมีปัญหาบาดเจ็บ โดยทั้ง สกอตต์ แม็คโทมิเน่ย์ และ ปอล ป็อกบา หมดสิทธิ์ช่วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแมตช์สำคัญนี้ เนื่องจากอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ โซลชา จำเป็นต้องใช้ อันเดรียส เปเรยร่า และ เฟร็ด

 

    ขณะที่ในแผงกองกลาง "หงส์แดง" อาจจะไม่ได้มีนักเตะตัวสร้างสรรค์เกมชั้นยอด หรือสตาร์ดังระดับโลกก็ตาม แต่พวกเขาทำผลงานได้เข้าขากันเป็นอย่างดี จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ต้องรับบทโฮลดิ้งมิดฟิลด์แทน ฟาบินโญ่ ที่มีปัญหาบาดเจ็บแต่ตอนนี้สามารถกลับมาเรียกความฟิตทันเกม "เร้ด วอร์" พอดี

    โดย ดาวเตะเลือดดัตช์ ได้รับการเชิดชูว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกหลังจากที่โชว์ฟอร์มสุดยอดในแดนกลางให้ต้นสังกัดทั้งการบีบพื้นไม่ให้คู่แข่งเล่นได้สะดวก และการครองบอลอย่างเหนียวแน่น ส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นโดยเฉพาะในจังหวะการเปิดบอลยาว  และการวิ่งไล่กดดันคู่แข่งอย่างหนักจนไม่สามารถเล่นได้สะดวก

 

    สำหรับแนวรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีจุดเด่นในการเล่นสวนกลับเวลาที่เจอกับทีมใหญ่ ดังนั้นพวกเขาไม่มีปัญหาในการที่จะต้องโดนคู่อริตลอดกาลครองบอลตลอด แต่สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาจำเป็นต้องหยุด ลิเวอร์พูล ในการครองพื้นที่แดนกลาง และการผ่านบอลแบบคิลเลอร์พาสให้ได้

    เนมานย่า มาติช, เฟร็ด และ เปเรยร่า คงจะต้องทำงานหนักแบบวิ่งไม่หยุดเพื่อไม่ให้แดนกลางของลิเวอร์พูล มีพื้นที่ และเล่นได้อิสระ ฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ว่า โซลชา จะจัดแผงมิดฟิลด์ยังไงในการสู้กับ ลิเวอร์พูล ที่เต็มไปด้วยพละกำลังในการเล่นเพรสซิ่ง
 


4. เด เคอา ปะทะเกมรุกระดับเฮฟวี่ เมทัล
    ด้วยความเคารพต่อเกมรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่การที่พวกเขาแทบจะเก็บคลีนชีตไม่ได้จากการลงเล่นทุกรายการคงจะเป็นเรื่องยากที่จะมีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับแนวรุกที่ว่ากันว่าสุดยอดที่สุดในอังกฤษเวลานี้ เพราะนักเตะอย่าง ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลกไปแล้ว ซึ่งสามารถยิงประตูได้ตลอดเวลา

    อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเกมรับทั้งหมดของ "ผีแดง" จะย่ำแย่ไปซะทีเดียว อย่างน้อยๆ มีนักเตะหลายคนที่แสดงความฮึกเหิม และเล่นได้ยิ่งขึ้นในเกมแห่งศักดิ์ศรี เพราะจากประวัติศาสตร์ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทุกครั้งที่ ลิเวอร์พูล ปะทะ แมนฯ ยูไนเต็ดนั้น ดาบิด เด เคอา มักจะเป็นผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเสมอ

 

    สาวก "เดอะ ค็อป" รู้ดีว่า นายทวารชาวสแปนิช เหนียวหนึบมาแค่ไหน นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2013 เด เคอา เก็บได้ 6 คลีนชีตในการสู้กับสโมสรเจ้าของแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทีมล่าสุด ที่สำคัญเขามักจะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นเกือบทุกครั้งที่ลงเฝ้าเสาในศึก "แดงเดือด"

    ก็เหมือนในสมัยที่ หลุยส์ ซัวเรซ กับ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ อยู่กับทีม เพราะทั้ง มาเน่ กับ ซาลาห์ ไม่ค่อยได้มีโอกาสส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายมากนักเนื่องจาก เด เคอา โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าตอนนี้ นายด่านทีมชาติสเปน จะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่เหนียวหนึบที่สุดตั้งแต่ปี 2013-2018 ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการหยุดเกมรุกของคู่อริร่วมชาติ   

    "บังโม" และเพื่อนร่วมทีม อาจจะผ่านแนวรับที่ไม่ค่อยเหนียวแน่นอนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปได้ แต่พวกเขาต้องทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อที่จะส่งบอลผ่านมือ เด เคอา ในเกมแห่งศักดิ์ศรีนี้
 


5.  สถิติน่าสนใจ "หงส์แดง" ปะทะ "เร้ด เดวิลส์"
- นับตั้งแต่ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งเหย้าและเยือนในฤดูกาล 2013/14 พวกเขาคว่ำคู่อริตลอดกาลเพียงแค่ 1 เกมจาก 11 แมตช์หลังสุดในพรีเมียร์ลีกที่พบกับ "ผีแดง" (เสมอ 5 แพ้ 5)
- แมนฯ ยูไนเต็ด สะกดคำว่าชนะไม่เป็นในเกมเยือน ลิเวอร์พูล ทุกรายการ (เสมอ 2 แพ้ 2) นับตั้งแต่ที่เอาชนะสกอร์ 1-0 เมื่อเดือนมกราคม 2016 ในเกมพรีเมียร์ลีก


- ลิเวอร์พูล แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 28 เกมจากการดวลในศึกพรีเมียร์ลีก 28 แมตช์ มากกว่าทีมอื่นๆ ในรายการนี้
- ลิเวอร์พูล จะดวลกับ แมนฯ ยูฯ ในฐานะจ่าฝูงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน 1990 ซึ่งเกมนั้น "เดอะ เร้ดส์" ถล่ม 4-0 ในยุคที่เซอร์เคนนี่ ดัลกลิช กุมบังเหียน
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้เกมเยือนทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ทั้ง 2 แมตช์ในพรีเมียร์ลีกในการปะทะกับ ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน แต่พวกเขาไม่เคยแพ้ 3 เกมติดต่อกันในลีกสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 1979

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »