ดร.สาธิต อธิบดีกรมสรรพากร ชี้ผิดทั้งคู่กรณีนางเอกดัง ''พลอย-เฌอมาลย์'' ใช้บัตร ปชช. ผู้อื่นทำเอกสารหักภาษีค่าตัวออกงานอีเวนต์แทน ล่าสุด วงในเผย เตรียมเรียกดาราดังเจ้าพ่อ-เจ้าแม่พรีเซนเตอร์ชี้แจงเกี่ยวกับภาษีเงินได้ใน แต่ละปี

    กลายเป็นหนังม้วนยาวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับกรณีของนางเอกสาวคนดัง ''พลอย'' เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ กับออร์กาไนเซอร์เจ้าหนึ่ง ที่มีการออกมาโต้ตอบกันอย่างรุนแรงผ่านสื่อเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายเงินค่าตัวของดาราสาวที่มีการตกลงไว้ที่ 150,000 บาท แต่ได้รับเช็คจากผู้ว่าจ้างสั่งจ่ายเพียง 145,500 บาท ซึ่งคู่กรณีได้ออกมาชี้แจงเรื่องที่ไม่สามารถจ่ายเต็มจำนวนเงินให้กับสาวพลอยได้ เพราะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 3 % แล้ว ขณะที่สาวพลอยได้ออกมาแย้งว่าทางออร์กาไนซ์ไม่มีการแจ้งถึงเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า อีกทั้ง ตามปกติแล้วตามพื้นฐานของการจ้างงานในเมืองไทยส่วนใหญ่ ราคาที่ตกลงกันไว้จะไม่มีการหักส่วนใดทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนของภาษีจะเป็นผู้ว่าจ้างเป็นคนรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม บริษัทออร์กาไนซ์ที่ตกเป็นข่าวยังได้ออกมาเปิดเผยว่า ดาราสาวได้ใช้บัตรประจำตัวประชาชนของชายวัย 70 ปี เซ็นทำเอกสารหักภาษีค่าตัวออกงานอีเวนต์แทนตนอีกด้วย ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างรุนแรงว่าอาจจะเป็นการหลบเลี่ยงภาษีหรือเปล่า
    

    ล่าสุด หลังจากที่มีการตีแผ่เรื่องนี้ออกมา ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ข่าวการเสียภาษีของดารานักแสดงบางคนอาจมีการเสียภาษีคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้นว่า การเสียภาษีของดารานักแสดงต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ของเงินได้ที่ได้รับ และเมื่อหักแล้วก็ต้องนำส่งให้กรมสรรพากรภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้ เมื่อสิ้นปี ดารานักแสดงก็ต้องนำเงินได้ทั้งหมดไปรวมคำนวณภาษีปลายปี โดยนำภาษีที่ถูกหักไว้มาเครดิตออกจากภาษีสิ้นปีได้ โดยการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อสิ้นปีนั้น ก็คำนวณโดยนำเงินได้ทั้งหมดหักด้วยค่าใช้จ่าย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้หักได้ตามจริง หรือในอัตราเหมาที่กฎหมายกำหนด และหักค่าลดหย่อน ก่อนจะนำเงินได้สุทธิไปคำนวณอัตราภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้า เมื่อได้ภาษีที่ต้องชำระแล้ว ก็นำภาษีที่ถูกหักไว้แล้วมาเครดิตได้
    

    โดย ดร.สาธิต รังคสิริ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีที่มีการหลีกเลี่ยงภาษี โดยการใช้บุคคลอื่นเป็นผู้รับเงินแทน และทำให้การหักภาษี ณ ที่จ่ายผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงนั้น ผู้จ่ายและผู้รับเงินได้มีความรับผิดร่วม ซึ่งหากดาราดังกล่าวได้รับเงินได้ในเดือนสิงหาคม บริษัทผู้จ่ายเงินได้ก็ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภายในวันที่ 7 กันยายน กรมสรรพากรจะได้ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายในทันที และหากสิ้นปียังมีการยื่นแบบเสียภาษีประจำปีไม่ถูกต้องอีก ทั้งผู้จ่ายและผู้รับเงินต่างก็มีความผิด และกรมสรรพากรก็จะดำเนินการตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่งต่อไป การนำบุคคลอื่นมารับเงินแทนเพื่อให้การเสียภาษีไม่ถูกต้องครบถ้วน ผู้รับเงินที่แท้จริงต้องรับผิดชอบต่อกรมสรรพากรและหากผู้จ่ายเงินร่วมมือกับผู้รับเงินก็มีความผิดด้วยเช่นเดียวกัน
             

    ล่าสุด เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของกรมสรรพากรในการไกล่เกลี่ย แต่มีหน้าที่ในการชี้ข้อเท็จจริงว่ามันเป็นอย่างไร หาก นาย ก มีเงินได้แล้วไปหักนาย ขอย่างนี้ถือว่าหักผิด จะมีผลต่อผู้จ่ายเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนไม่ได้ไปหักนาย ก เลย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดูตอนการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี (ภงด.90, 91 ที่ต้องยื่นภายในเดือนมีนาคม ปี 2556) ว่า ดาราสาวจะนำเงินในจำนวนที่ได้รับดังกล่าวมารวมไว้หรือไม่ ถ้ารวมไว้ก็ไม่ผิด แต่ถ้าไม่รวมก็ถือว่าผิด
    

    ด้าน ''แหม่ม'' ชลิดา นิลภิรมย์ มารดาของนางเอกสาว ''พลอย-เฌอมาลย์'' ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวว่า ลูกสาวของตนนั้นตั้งราคาค่าตัวงานละ 1.5 แสนบาท ทุกงาน แต่งานครั้งนี้ตนไม่รู้รายละเอียดชัดเจน เพราะตอนที่รับงานดาราสาวอยู่เมืองนอก ส่วนการรับเงินค่าตัวตามงานปกตินั้น ทางผู้จัดการของพลอยจะส่งบัตรประชาชนลักษณะนี้ไปให้ออร์กาไนซ์ทุกครั้ง ถ้าหากใช้ไม่ได้ก็จะส่งกลับมา ซึ่งในกรณีดังกล่าว หากใช้ไม่ได้จริง ทำไมออร์กาไนซ์ไม่ส่งกลับมาตั้งแต่แรกและยืนยันว่าเรื่องการจ่ายภาษีทั้งหมดสาวพลอยไม่รู้เรื่องเลย มีหน้าที่ทำงานอย่างเดียว เพราะมีบริษัทวางแผนภาษีจัดการให้ แต่ในกรณีดังกล่าวระหว่างพลอยกับออร์กาไนซ์นั้น ตนอยากจะถามว่า มันเป็นความผิดร่วมกันหรือไม่
            

    ทั้งนี้ ตามกฎหมายการเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของนักแสดงสาธารณะ ได้ระบุว่า คำว่า ''นักแสดงสาธารณะ'' หมายความว่า นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใดๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่หรือคณะ หรือแข่งขันเป็นทีม เช่น นักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครวิทยุ นักแสดงละครโทรทัศน์ นักแสดงตลก นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์กโชว์ นักมวยอาชีพ นักฟุตบอลอาชีพเป็นต้น ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 5 % ส่วนรายได้จากการทำงานต้องแสดงเพื่อคิดคำนวณการจ่ายภาษีในเเต่ละปีอีกครั้ง ขณะที่บรรดาดาราที่เป็นพรีเซนเตอร์สินค้ามากกว่า 2 ตัวต่อปี จะต้องเสียภาษีเต็มเพดาน คือ ร้อยละ 37
                

    ขณะที่ยังมีดาราจำนวนหนึ่งที่จัดตั้งคณะบุคคล เพื่อให้คณะบุคคลดังกล่าว เฉลี่ยจ่ายภาษีให้ ซึ่งบางครั้ง กรมสรรพากรก็สามารถตรวจสอบแล้วเอาเรื่องได้ หากตรวจสอบพบว่า การจดทะเบียนคณะบุคคลนั้น เพื่อเจตนาเลี่ยงภาษี บุคคลเหล่านั้นก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่ถ้าใช้บัตรประชาชนคนอื่นเพื่อเป็นหลักฐานในการรับเงิน แบบที่รู้กันทั้งผู้ว่าจ้าง ดาราที่รับจ้าง เเละบุคคลในบัตรประชาชน ก็ยิ่งเข้าข่ายฉ้อฉล อีกทั้ง หากมีการแจ้งเท็จเช่นมีรายได้ 5 ล้านบาท แต่ยื่นภาษีไปแค่ 3 ล้านบาท นั้น หากกรมสรรพากรมาตรวจพบจะต้องเสียภาษีย้อนหลัง หากยังไม่รีบไปจัดการ ก็ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรืออาจถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายได้
                

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุด แหล่งข่าววงในได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะที่ทางกรมสรรพากรเตรียมเรียกบรรดาซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายที่พ่วงตำแหน่ง เจ้าพ่อ-เจ้าแม่พรีเซนเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น '' อั้ม'' พัชราภา ไชยเชื้อ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, ''ญาญ่า'' อุรัสยา เสปอร์บันด์, ''ชมพู่'' อารยา เอ ฮาร์เก็ต, ''แพนเค้ก'' เขมนิจ จามิกรณ์, ''เป้'' อารักษ์ อมรศุภศิริ, ''โดม'' ปกรณ์ ลัม, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, แอน ทองประสม ฯลฯ รวมถึงดาราสาวที่ตกเป็นข่าวฉาวในขณะนี้ก็คือ ''พลอย'' เฌอมาลย์บุญยศักดิ์ มาชี้แจงเกี่ยวกับภาษีเงินได้ในแต่ละปีอีกด้วย