คืนความสุขให้กับคนไทยทั้งแผ่นดินได้จริงๆ สำหรับทีมลูกหนัง ''ช้างศึก'' ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยที่นำเกียรติภูมิอันสุดยอดกลับมาสู่แผ่นดินสยามได้อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 หรือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนครั้งที่ 10 ที่หนนี้สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งอาเซียนให้เวียดนามกับสิงคโปร์ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพในรอบแรก

แม้วันวานที่ผ่านมาไทยจะเสียตำแหน่งความเป็นชาติลูกหนังเบอร์ 1 ของเมืองไทยไปแต่ศึกซูซูกิ อาเซียน คัพ หนนี้นั้นไทยเราก็กระโจนลงสู่สังเวียนในฐานะของทีมเต็งแชมป์อีกทีมหลังจากก่อนหน้านี้เราเพิ่งกลับมาซิวแชมป์ลูกหนังซีเกมส์ กลับมาได้อีกครั้งรวมถึงมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติเอเชียอย่าง เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 เราก็คว้าอันดับ 4 มาครองได้สำเร็จ

ลูกหนังซูซูกิ คัพ นั้นไทยเคยเป็นแชมป์มา 3 สมัยเป็นชาติที่ได้แชมป์เป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ที่เพิ่งทำได้ 4 สมัยในครั้งที่ผ่านมานั่นเอง

หนสุดท้ายคือครั้งที่ 3 ที่ไทยเราได้แชมป์ซูซูกิ คัพ ไปครองได้นั้นต้องย้อนไปถึงเมื่อ 12 ปีที่แล้วเลยทีเดียว โดยครั้งล่าสุดที่ไทยเราได้แชมป์เกิดขึ้นในซูซูกิ คัพ ครั้งที่ 4 เมื่อปี ค.ศ. 2002 ที่อินโดนีเซียกับสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพร่วมในรอบแรก โดยนัดชิงหนนั้นไทยเอาชนะอินโดนีเซียไปได้

ส่วนแชมป์อีก 2 ครั้งของไทยเรานั้นคือครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1996 ที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ และไทยคว้าแชมป์ไปครองโดยนัดชิงเอาชนะมาเลเซียไปได้

 แชมป์สมัยที่ 2 ของไทยก็คือ ในครั้งที่ 3 เมื่อปี ค.ศ. 2000 ที่ไทยเราเป็นเจ้าภาพเองซึ่งนัดชิงชนะอินโดฯ ไปได้

ก่อนจะเข้าสู่สังเวียนแข่งขันครั้งนี้ผู้บริหารสมาคมลูกหนังไทยอย่าง ''บังยี'' วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ นั้นได้มอบหมายให้ ''ซิโก้'' เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นำทัพไปลุยหนนี้ในฐานะกุนซือใหญ่ สานงานต่อจากภารกิจเอเชียนเกมส์ ส่วนตำแหน่ง ผจก.ทีมนั้นให้ ''บิ๊กเษม'' เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ทำหน้าที่

โดยเป้าหมายนั้นคือทวงแชมป์ที่ไทยห่างเหินไปยาวนานถึง 12 ปีเต็มๆ กลับมาให้ได้ 

ทัพช้างศึกเดินทางไปล่าแชมป์สมัยที่ 4 ที่ดินแดนลอดช่อง สิงคโปร์ โดยเกมในรอบแรก เอาชนะได้ 3 นัดรวด นัดแรก เอาชนะ สิงคโปร์ได้ 2-1, นัดสอง ตามหลัง มาเลเซีย 2 หน แต่แซงชนะได้ 3-2 ก่อนจะปิดฉากรอบแรกด้วยการชนะพม่า ได้ 2-0

รอบรองฯ นัดแรก ไทยบุกไปเสมอฟิลิปปินส์มา 0-0 ก่อนจะกลับมาชนะได้ในบ้าน 3-0

รอบชิงฯ นัดแรก เมื่อ 17 ธ.ค. 57 ที่สนามราชมังฯ แน่นขนัดด้วยแฟนบอลอีกครั้งนั้น ไทยบดชนะมาเลเซียไปได้ 2-0 จากประตู ของ ชาริล ชัปปุยส์ (จุดโทษ) และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกมสำคัญที่จะชี้ว่าไทยเราจะคว้าแชมป์สมัยที่ 4 มาครองได้หรือไม่ เกิดขึ้นเมื่อเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมา โดยไปเล่นที่สนามบูกิตจาลิล ของมาเลเซีย

ใครจะไปเชื่อว่ามาเลเซียที่ตามหลังมาจากรอบชิงฯ นัดแรกถึง 0-2 จะกลับมากุมความได้เปรียบด้วยการนำห่างไปถึง 3-0 หลังผ่านไป 55 นาที

ชั่วโมงนั้นเป็นใครก็คิดว่าไทยคงจะกลับมาเป็นแชมป์ได้ยากแล้วแต่ น.80 ชาริล ชัปปุยส์ ก็ยิงตีไข่แตกให้ไทยไล่มาเป็น 1-3 นั่นหมายถึงสกอร์รวมเสมอกัน 3-3 หากจบสกอร์นี้ไทยจะคว้าแชมป์ได้ด้วยกฎอะเวย์โกลแต่เท่านั้นไม่พอ น.85 ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักเตะยอดเยี่ยมของรายการนี้ก็ยิงอีกเม็ดให้ไทยตามเป็น 2-3 แม้จะแพ้ไปด้วยสกอร์ดังกล่าวในเกมนี้ แต่สกอร์รวม 2 นัดนั้นไทยคว้าแชมป์ไปครองด้วยผลรวมชนะไป 4-3

ทีมชาติไทยคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ไปครองได้สำเร็จเทียบเท่ากับสิงคโปร์ โดยแชมป์ครั้งนี้เป็นการได้แชมป์นอกบ้านเป็นหนที่ 3 จาก 4 ครั้งหลังจากเคยได้แชมป์นอกถิ่นในครั้งที่ 1 ที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ และหนต่อมาก็คือครั้งที่ 4 ที่อินโดฯ กับ สิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพร่วมในรอบแรกนั่นเอง

ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายคือไทยคว้าแชมป์มาครองเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศได้อย่างยิ่งใหญ่

ความสำเร็จครั้งนี้เกิดมาเพราะนักเตะชุดนี้มีสปิริตหัวจิตหัวใจนักสู้ที่เต็มเปี่ยมมีความฟิตที่เต็มถังนั่นเอง จนทำให้ทีมชาติไทยชุดนี้คว้าแชมป์มาให้คนไทยได้สำเร็จ

 เส้นทางสู่แชมป์ รอบแรก ชนะ สิงคโปร์ 2-1, ชนะ มาเลเซีย 3-2, ชนะ พม่า 2-0, รอบรองฯ นัดแรก 6 ธ.ค. 57 ฟิลิปปินส์ เสมอ ไทย 0-0, 7 ธ.ค. 57 มาเลเซีย แพ้  เวียดนาม 1-2  รอบรองฯ นัดสอง 10 ธ.ค. 57 ไทย ชนะ ฟิลิปปินส์ 3-0 (สกอร์รวม 2 นัดไทย ชนะ 3-0 ), 11 ธ.ค. 57 เวียดนาม แพ้ มาเลเซีย 2-4 ( สกอร์รวม 2 นัด มาเลเซีย ชนะ 5-4 )  

รอบชิงฯ นัดแรก 17 ธ.ค. 57 ไทย ชนะ มาเลเซีย 2-0

รอบชิงฯ นัดสอง 20 ธ.ค. 57 มาเลเซีย ชนะ ไทย 3-2 ( สกอร์รวม 2 นัดไทย ชนะ 4-3 )