ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » 3ประสานฮอต, โจนส์ฟอร์มกระฉูด ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกถล่ม ปอร์โต้

3ประสานฮอต, โจนส์ฟอร์มกระฉูด ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกถล่ม ปอร์โต้

Posted 29/09/2021 by siamsport

 ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มสุดยอดบุกไปถล่ม เอฟซี ปอร์โต้ 5-1 ในสนามเอสตาดิโอ โด ดราเกา ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี เมื่อวันอังคารที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้สองเกม "หงส์แดง" ชนะรวด รั้งจ่าฝูงกลุ่มอย่างสุดยอด
     "เดอะ เร้ดส์" มักจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการพบกับ ปอร์โต้ มาตลอด และพวกเขาสามารถบุกมาชนะยอดทีมแดนฝอยทองถึงถิ่น 3 แมตช์ติดต่อกันที่ได้พบกันในถ้วยใบโตยุโรป พร้อมกับยิงประตูรวมไปถึง 14 ลูกเลยทีเดียว

     สำหรับแมตช์นี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ช่วยกันยิงคนละ 2 ประตู ส่วนอีกหนึ่งลูกมาจาก ซาดิโอ มาเน่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้หลังเสียประตูให้กับ  เมห์ดี้ ทาเรมี่ อย่างไรก็ตามชัยชนะในเกมนี้ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" เก็บ 6 คะแนนเต็มได้อย่างสุดยอด


1. สามประสานกลับมาโหด

     เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเลือกใช้งาน ดีโอโก้ โชต้า ลงเล่นร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ โดยดาวเตะชาวโปรตุกีสทำผลงานได้ดีเยี่ยม แต่ติดแค่อย่างเดียวก็คือเขาไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตูเท่านั้น

     จะว่าไปแล้ว โชต้า ก็มีโอกาสหลายครั้งในเกมนี้ แต่น่าเสียดายที่จังหวะยิงของเขาถ้าไม่โดน  ดิโอโก้ คอสต้า นายทวารเจ้าบ้านเซฟได้ ก็ยิงพลาดเป้าไปเอง อย่างไรก็ตามผลงานโดนรวมถือว่าหวือหวาและช่วยป่วนเกมรับของ ปอร์โต้ ได้เป็นอย่างดี

     ขณะที่ ซาลาห์ กับ มาเน่ ต้องบอกเลยว่าเล่นได้ตามมาตรฐานของพวกเขา ความรวดเร็ว จังหวะจบสกอร์ และการวิ่งหาช่องเพื่อทำประตูทั้งสองหนุ่มจากแดนกาฬทวีปทำได้เนียนตาไม่มีที่ติ นอกจากนี้พวกเขายังวิ่งลงไปช่วยเกมรับ และยังคอยเชื่อมเกมแดนกลางด้วย ถือว่าวันนี้ทั้งคู่เล่นได้ครบเครื่องจริงๆ

     ในกรณีของ "บังโม" ตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นแข้งเบอร์ 1 ของทวีปแอฟริกาไปแล้ว เพราะเขาก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะจากกาฬทวีปคนที่สามที่ยิงได้ 30 ประตูหรือมากกว่านั้นในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อจาก 2 ตำนานที่แขวนเกือกไปแล้วนั่นก็คือ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา (44 ประตู) และ ซามูเอล เอโต้ (30 ประตู)

     ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ลงเป็นตัวสำรองในเกมนี้ แม้จะไม่ค่อยได้โชว์ทีเด็ดมากนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็มีชื่อทำประตู 2 ลูก สิ่งนี้ถือว่าเป็นการเรียกความมั่นใจให้กับ "บ็อบบี้" ก่อนเกมลีกปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เป็นอย่างดี
 
2. หนุ่มโจนส์ฟอร์มดุดันโดนใจเด็กหงส์

     คล็อปป์ แสดงให้เห็นมาตลอดว่ามีความเชื่อมั่นในตัวเด็กดาวรุ่งของทีม โดยเฉพาะ เคอร์ติส โจนส์ ที่ได้มีโอกาสลงไปวาดลวดลายในสนาม 2 แมตช์ติดต่อกันได้แก่เกมเสมอ เบรนท์ฟอร์ด และล่าสุดเกมถล่ม ปอร์โต้

     ในแมตช์กับ "เจ้าผึ้งน้อย" โจนส์ ก็ยิงประตูสุดสวยให้กับทีม แต่น่าเสียดายที่ผลการแข่งขันอาจจะไม่ค่อยถูกใจสาวก "เดอะ ค็อป" อย่างไรก็ตามในเกมเยือนดินแดนฝอยทอง เจ้าตัวยังคงโชว์ฟอร์มเปล่งปลั่งสมกับที่ คล็อปป์ ไว้วางใจจริงๆ

     โจนส์ ทำหน้าที่ในแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งเชื่อมเกม และตัดเกมคู่แข่ง ที่สำคัญในส่วนของเกมบุกเจ้าตัวเปรียบเสมือนตัวขับเคลื่อน ทั้งการประสานงานกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และการเลี้ยงบอลทะลุทะลวง นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดจากจังหวะยิงไกลซึ่งประตูขึ้นนำของ ซาลาห์ ก็ได้มาจากความยอดเยี่ยมในจุดนี้ของเขา

     เกมนี้สิ่งที่ดาวเตะเลือดผู้ดีแสดงให้เห็นก็คือการเล่นด้วยพลังขับเคลื่อนที่ดุดัน ความกล้าในการครองบอลอย่างในจังหวะที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูที่สี่ มันเริ่มมาจากความกล้าครองบอลในแดนตัวเองแม้จะถูกคู่แข่งกดดัน จนกระทั่งเห็น ฟีร์มีโน่ ว่างค่อยเปิดบอลยาวให้ "บ็อบบี้" หลุดไปซัดประตู

     บทสรุปผลงานของ โจนส์ ในแมตช์นี้ต้องบอกว่าเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งเรื่องพละกำลัง, ความเยือกเย็นและความนิ่งในการเล่น, วิสัยทัศน์, การผ่านบอลที่เฉียบคม และยังจัดการแผงมิดฟิลด์คู่แข่งไม่ให้เล่นได้ง่ายๆ ด้วย

3. เกมรับเหนียวแน่นแต่ยังไม่สมบูรณ์แบบ

     ตอนนี้แฟนบอลลิเวอร์พูล คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าคู่เซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดของทีมก็คือ โฌแอล มาติป กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เพราะทั้งสองคนเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง ช่วยจัดการเกมบุกของเจ้าบ้านได้อยู่หมัด

     จริงๆแล้วตลอดทั้งเกม ฟาน ไดค์ กับ มาติป แทบจะไม่ทำอะไรผิดพลาดเลยด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถจัดการเก็บกินจังหวะบุกของ ปอร์โต้ ได้หมด พวกลูกตั้งเตะลูกเตะมุมก็ไม่สามารถทำอะไรสองปราการหลัง "หงส์แดง" ได้เลย

     น่าเสียดายตรงที่ทีมอาจจะติดประมาทไปหน่อยในจังหวะที่เคลียร์บอลกันไม่ขาด จนทำให้ วิเอยร่า มีโอกาสได้เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษ และ เมห์ดี้ ทาเรมี่ ที่วิ่งสอดเข้ามาระหว่าง ฟาน ไดค์ กับ โจ โกเมซ ได้โหม่งเต็มหัวบอลพุ่งผ่านมือ อลีสซง เบ็คเกอร์ เข้าไปซุกก้นตาข่าย

      จากจังหวะแบบนี้ คล็อปป์ คงจะต้องจัดการติวเข้มลูกทีมต้องเล่นให้ละเอียด และไม่ประมาท เพราะเกมต่อไปต้องพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีนักเตะคุณภาพคับแก้วทั้งทีม พวกเขาห้ามพลาดเด็ดขาด ไม่งั้นอาจเสียประตูได้ทันที

4. ฟูลแบ็กเติมสนุก, มิลเนอร์ลืมแก่

     สิ่งที่จะไม่ชมไม่ได้เลยก็คือสองฟูลแบ็กในเกมนี้ เพราะทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้าย และ เจมส์ มิลเนอร์ แบ็กขวา ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมทั้งการเติมเกมรุกที่ดุดัน และการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่น

     การขึ้นเกมทั้งฝั่งซ้ายของ "หงส์แดง" เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและสามารถสร้างโอกาสในการทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการประสานงานกันระหว่าง "ร็อบโบ้", โจนส์ และ มาเน่ ต้องบอกเลยว่ารวดเร็วและดุดันมากๆ

     ขณะที่เกมรับ โรเบิร์ตสัน ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเช่นเคย แต่กระนั้นในส่วนของเกมรุกทางริมเส้นของ ปอร์โต้ ก็ไม่ได้มีความอันตรายมากนักทำให้ แบ็กซ้ายทีมชาติสกอตแลนด์ ไม่ต้องเจอกับงานยากลำบากซะเท่าไหร่

     สำหรับ มิลเนอร์ ต้องลงมาทำหน้าที่แบ็กขวาจำเป็นอีกครั้ง และก็ไม่ทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" ผิดหวัง เพราะเจ้าตัวเล่นได้สุดยอดมากๆ วิ่งขึ้นลงราวกับเด็กอายุยี่สิบกว่าๆ และมีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตู 2-0 ซะด้วย

     จังหวะในการเปิดบอลให้ มาเน่ ทำประตูช่วยทำให้ตอนนี้ไม่มีนักเตะลิเวอร์พูล คนไหนที่ทำแอสซิสต์ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก (ไม่รวมรอบคัดเลือก)ได้มากกว่า มิลเนอร์ อีกแล้ว ซึ่งเขาทำได้ 12 ครั้งเท่ากับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกัปตันทีม

5. พร้อมทุกตำแหน่งก่อนปะทะ "เรือใบสีฟ้า"

     แมตช์นี้ คล็อปป์ เลือกใช้งานผู้เล่นชุดเดียวกับที่เสมอ เบรนท์ฟอร์ด ขาดแค่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่มีอาการบาดเจ็บไม่ได้เดินทางมาช่วยทีมเท่านั้น โดยผลงานของพวกเขายังคงดุดันในเกมรุก และแข็งแกร่งในเกมรับ

     ต้องบอกว่าแมตช์นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า คล็อปป์ เชื่อมั่นในนักเตะชุดนี้อย่างมาก และมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้ลงเล่นร่วมกันอีกครั้งในเกมรับมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามแอนฟิลด์ช่วงสุดสัปดาห์นี้

     เรื่องขวัญกำลังใจของนักเตะลิเวอร์พูลในเวลานี้ต้องบอกเลยว่าเต็มเปี่ยม ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ อาจจะมีอาการเสียทรงอยู่บ้าง หลังจากที่บุกไปโดน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สอยสบายเท้าสกอร์ 0-2

     ฉะนั้นมีแค่สองเรื่องที่ คล็อปป์ จะต้องเน้นย้ำลูกทีมเป็นพิเศษนั่นก็คือการเล่นเกมรับที่ไร้ข้อผิดพลาดและห้ามประมาท กับอีกเรื่องก็คือความเฉียบคมในการจบสกอร์ เพราะถ้ามีโอกาสเหมือนเกมกับ เบรนทฟอร์ด และ ปอร์โต้ แต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้ นั่นอาจจะทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของเกมได้เลยทีเดียว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »