หลังจากสร้างผลงานได้แบบลุ่มๆดอนๆ พาทีมคว้าผลลัพธ์ได้ แต่ไม่มีอะไรน่าประทับใจมาหลายนัด
    
ในที่สุด ราล์ฟ รังนิก ก็ประเดิมคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ปราชัยเป็นนัดแรกของเขาจนได้ในเกมพ่าย วูล์ฟส์ คารัง 1-0

แถมเป็นเกมแรกในลีกที่ทีม หมาป่า บุกมาคว้าชัยได้ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด นับตั้งแต่ปี 1980 หรือ 42 ปีอีกด้วย

และนี่คือ 5 หัวข้อที่น่าพูดถึงในเกมนี้

1. กัปตัน โรนัลโด้

สืบเนื่องจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ได้รับบาดเจ็บลงเล่นกับ วูล์ฟส์ ไม่ได้  รังนิก จึงมีหน้าที่ต้องมองหาคนสวมปลอกแขน

และเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ได้รับการพิจารณาแม้กุนซือชาวเยอรมันจะเผยว่า ดาบิด เด เคอา ที่รับใช้สโมสรมาอย่างยาวนานที่สุดอยู่ในข่ายถูกคำนึงถึงเช่นกัน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การเลือกให้กองหน้าทีมชาติโปรตุเกสได้เป็นกัปตันเป็นการตัดสินใจที่เซฟดี และไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการทีมคนไหนก็คงทำแบบนี้

สำหรับหัวหอกวัย 36 ปี มันเป็นการได้สวมบทกัปตัน  ผีแดง ในเกมลีกครั้งที่สองของเขาซึ่งกินเวลาห่างจากครั้งแรกนานถึง 14 ปี

ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันที่ 19 มี.ค.2008 โรนัลโด้ เคยเดินนำทีมลงบู๊มาแล้วแทนที่ ไรอัน กิ๊กส์ ซึ่ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตนายใหญ่ใส่ชื่อปีกทีมชาติเวลส์เป็นตัวสำรองนัดต้อนรับ โบลตัน

ไม่เพียงเท่านั้น โรนัลโด้ ยังเหมากดสองประตูพาทีมซิวชัย 2-0 ได้อีกด้วย

และที่สำคัญ โรนัลโด้ ลงเล่นเกมแรกในลีกในฐานะ 11 คนแรกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมบู๊กับ วูล์ฟส์ เมื่อปี 2003 เช่นกัน

แต่น่าเศร้าเหลือเกินที่ "ซีอาร์เซเว่น" ไม่อาจพาทีมกำชัยเหนือ หมาป่า เป็นการฉลองตำแหน่งกัปตันทีมของเขาได้

2. การกลับมาอย่างน่าฮือฮาของ ฟิล โจนส์

ต้องเรียกว่าฆ่าไม่ตายจริงๆสำหรับปราการหลังวัย 29 ปีซึ่งได้ลงเล่นให้ ผีแดง เป็นนัดแรกหลังจากหายหน้าไปนานถึง 712 วัน

ถ้าจะนับเฉพาะเกมลีกนัดสุดท้ายที่ โจนส์ ได้ลงบู๊ มันเป็นเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้คารังต่อ เบิร์นลีย์ 2-0 เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2020

แต่หากนับรวมทุกรายการ อีกสี่วันจากนั้น เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจอมเดี้ยงได้ลงเล่นเกม เอฟเอคัพ ขยี้ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส เละเทะ 6-1 เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2020 ซึ่งเขามีชื่อยิงประตูได้ด้วย

อย่างไรก็ดี นับจากนั้นดาวเตะอิงลิชก็เจ็บเข่าอย่างหนัก และร้างสนามไปนานสองปี แม้จะมีชื่อเป็นตัวสำรองสองเกมหลังบุกไปเยือน นอริช กับ นิวคาสเซิ่ล แต่ก็ไม่ได้ลงสนาม

จนกระทั่ง แม็กไกวร์ บาดเจ็บตาม เอริค ไบยี่ ขณะที่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ยังต้องกักตัวหลังติดเชื้อโควิด รังนิก จึงตัดสินใจส่ง โจนส์ ลงเล่นเป็นตัวจริง

และบอกได้เลยว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงไม่น้อยเพราะเท่าที่ผ่านมา เขาได้สัมผัสเกมในทีมชุดยู 23 มาบ้างเท่านั้น แถมมีการตั้งข้อสังเกตว่าบางที รังนิก น่าจะส่ง เนมานย่า มาติช หรือ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ รับบทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจำเป็นร่วมงานกับ ราฟาแอล วาราน มากกว่า

แต่ที่ไหนได้ แม้จะเจ็บไปนาน โจนส์ กลับมีผลงานที่ดีที่สุดในทีม ผีแดง นัดแพ้ วูล์ฟส์

ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยกล้าตายอย่างเขายังทำให้ทีมได้ลูกฟรีคิกระยะหวังผลในช่วงทดเวลาด้วย แต่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ปั่นไปโดนเซฟอย่างน่าเสียดาย

ถึงอย่างไรก็ตาม จากฟอร์มของ โจนส์ ในการคืนสนามเกมแรก เชื่อว่า รังนิก ไม่น่าจะปล่อยให้เขาย้ายในเดือนนี้ ยกเว้น อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ซึ่งไม่ถูกใส่ชื่อเป็นตัวสำรองมานานแล้ว แม้จะฟิตสมบูรณ์ก็ตาม

3. บรูโน่ แฟร์นันด์ส หลุดโผตัวจริงอย่างช็อก

หากการตัดสินใจเสี่ยงใช้งาน โจนส์ ของ รังนิก ได้ผล การดร็อป แฟร์นันด์ส ซึ่งพ้นโทษแบนแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด

เหตุผลของกุนซือวัย 63 ปีคือ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นกันได้ดีในนัดก่อน และหาก แม็กไกวร์ ไม่เจ็บ เขาก็คงส่ง 11 ตัวแรกชุดเดิมลงสนามเป็นแน่แท้

มองในมุมหนึ่งมันก็พอจะเข้าใจได้ แต่อีกมุมคือ เบิร์นลีย์ เล่นคนละสไตล์กับ วูล์ฟส์ เลย ดังนั้นการไม่มีจอมทัพฝอยทองจึงทำให้ ผีแดง เก็บบอลมาครองไม่สำเร็จ และเป็นรองทีม หมาป่า ขาดลอยจากสถิติที่ฟ้องให้เห็นในครึ่งแรก

จนกระทั่ง ผีแดง มี แฟร์นันด์ส อยู่ในสนาม สถานการณ์ของทีมก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แถมกองกลางทีมชาติโปรตุเกสเกือบยิงประตูได้ด้วย รังนิก จึงน่าจะเห็นเต็มสองตาแล้วว่าเขาไม่ควรดร็อปกองกลางชั้นยอด

4. นักเตะใหม่รายแรกของ รังนิก?

ก่อนเกมต้อนรับ วูล์ฟส์ ระเบิดขึ้นไม่นาน มีกระแสข่าวรายงานออกมาว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเปิดฉากเจรจากับเอเยนต์ของ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ทันทีที่เกมบู๊กับทีม หมาป่า จบลง

วิเคราะห์ดูแล้วก็น่าจะมีความเป็นไปได้เนื่องจากข่าวระหว่าง ผีแดง กับ อมาดู ไฮดาร่า และ บูบาการ์ กามาร่า มิดฟิลด์ทีม แอร์เบ ไลป์ซิก กับ โอลิมปิก มาร์กเซย์ เงียบหายไปนานแล้ว

ขณะเดียวกัน อัลเฟรโด้ เปดูล่า นักข่าวอิตาเลี่ยนเผยว่าทีมลูกหนังอังกฤษจ่อเซ็นสัญญากับกองหน้าทีม ริเวอร์เพลท วัย 21 ปีที่มีค่าตัวราว 17 ล้านปอนด์เท่านั้น

แต่ทั้งนี้ หากมันเป็นจริงขึ้นมาก็น่าสงสัยว่าดาวยิงอาร์เจนไตน์จะย้ายมาเป็นได้แค่ตัวสำรองของ โรงละครแห่งความฝัน หรือเปล่าในเมื่อขุมกำลังในแดนหน้าของ รังนิก ยืนเบียดเสียดยัดเยียดกันเต็มทีมไปหมดแล้ว

5.วูล์ฟส์ บอลสวยแต่รูปจูบไม่หอม

ดูจากอันดับตาราง จะเห็นได้ว่าทีม หมาป่า เป็นทีมในสไตล์สวยแต่รูปจูบไม่หอมอย่างแท้จริงเนื่องจากก่อนเกมบุกมาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาคลำเป้าได้อย่างจุ๋มจิ๋มแค่ 13 ลูกเท่านั้นจากการลงเล่นในลีก 18 นัด

และไม่ต่างอะไรกับ ผีแดง ของ รังนิก ซึ่งยิงประตูไม่เป็นเช่นกันจากการสอยตาข่ายคู่แข่งในลีกได้แต่ช่วงครี่งหลังยันเต ยกเว้นเกมก่อนหน้านี้กับ เดอะ คลาเร็ตส์

แล้วในที่สุด รังนิก ก็หนีความจริงไม่พ้น แม้จะโดน วูล์ฟส์ กดดันอย่างหนักตลอดครึ่งแรก แต่ทีมเยือนมีปัญหาในการจบสกอร์ซึ่งพวกเขาได้สับไกมากถึง 15 ครั้ง แต่เข้ากรอบแค่ 4 ครั้ง และไม่เป็นประตู ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสยิง 4 ครั้ง และเข้ากรอบครั้งเดียวจาก โรนัลโด้

ต่อตัวเลข 15 ครั้งดังกล่าว ส่งผลให้ วูล์ฟส์ เป็นทีมที่บุกมาส่องยิงที่ โรงละครแห่งความฝัน ในครึ่งแรกได้มากที่สุดนับตั้งแต่ซีซั่น 2003/04 เป็นต้นมาซะด้วย

จากนั้นหลังจบ 90 นาทีซึ่งทีมของ บรูโน่ ลาช บุกมากำชัยได้ 1-0 วูล์ฟส์ ได้ส่องยิงรวม 19 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ส่องยิง 9 ครั้ง เข้ากรอบสองครั้งจากลูกฟรีคิกในช่วงทดเวลาของ แฟร์นันด์ส ที่ไม่อาจเป็นประตูตีเสมอของเจ้าบ้านได้

เห็นอย่างนี้แล้ว จึงแน่นอนว่าทีม หมาป่า สมควรเสาะหากองหน้าชั้นดีมาเสริมเนื่องจากพวกเขาครองเกมได้อย่างดีเยี่ยมไม่ด้อยกว่าใครใน พรีเมียร์ลีก แต่เสียอย่างเดียวที่ส่งบอลเข้าประตูไม่ค่อยเป็น

พูดได้เลยว่าหากเกมนี้เปลี่ยนจาก วูล์ฟส์ เป็นทีมอื่นอย่าง ลิเวอร์พูล หรือ แมนฯ ซิตี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีทางแพ้แค่ 1-0 แน่นอน

และอันที่จริง หากไม่ได้ประตูของ มูตินโญ่ พาทีมเก็บสามแต้ม วูล์ฟส์ ซึ่งเล่นได้ดีก็จะสานต่อสถิติที่เลวร้ายในการบุกมาเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อไปเนื่องจากพวกเขาไม่เคยชนะที่นี่เลยตลอด 10 นัดหลัง (เสมอสาม แพ้เจ็ด) นับตั้งแต่เดือนก.พ.1980 ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าว่าทีม หมาป่า จำเป็นต้องเซ็นสัญญากับหัวหอกชั้นยอด