โดยบรรดาสำนักข่าวชั้นนำของโลกไม่ว่าจะเป็น เอเอฟพี (AFP), เอพี (AP), อีเอสพีเอ็น (ESPN), ยูโรสปอร์ต (Eurosport), บีบีซี (BBC) และ เทเลกราฟ (Telegraph) ต่างรายงานตรงกันเมื่อวันพุธที่ 14 กันยายนที่ผ่านมาว่า วรวีร์ มะกูดี หนึ่งในบอร์ดบริหารของฟีฟ่าถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจนำเงินสนับสนุนการพัฒนา ฟุตบอลภายใต้โครงการ “โกล์” (GOAL) ของฟีฟ่าไปใช้โดยละเมิดกฎด้านจริยธรรม 
 
  
ซึ่งจุดที่ถูกตั้งข้อสังเกต คือ การนำเงินที่ได้รับจากโครงการ “โกล์” ของฟีฟ่ารวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 860,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 26 ล้านบาท) ไปใช้ในการก่อสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ หนองจอก บนที่ดินของ “บังยี” เอง โดยแบ่งเป็น 460,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14 ล้านบาท) ในการสร้างสนามหญ้าเทียมเมื่อปี 2004 และอีก 400,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 12 ล้านบาท) ในการก่อสร้างอาคาร 3 หลังภายในศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ

ด้าน ฟีฟ่า ออกมาแถลงว่า “เราขอยืนยันว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติกำลังหาความกระจ่างกับคุณ (วรวีร์) มะกูดี ในประเด็นเกี่ยวกับโครงการโกล์ในประเทศไทย ซึ่งได้มีการส่งจดหมายไปยังคุณ (วรวีร์) มะกูดี และติดตามความคืบหน้าแล้ว หากพบหลักฐานใดๆ ที่ระบุว่ามีการละเมิดกฎด้านจริยธรรม เรื่องนี้ก็จะถูกส่งไปยังคณะกรรมการจริยธรรมของฟีฟ่าตามมาตราที่ 16 อย่างไรก็ตาม เวลานี้เรายังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีการละเมิดกฎระเบียบข้อใดของโครงการ โกล์จริงหรือไม่”

ทว่า “บังยี” ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาข้างต้นเป็นที่เรียบร้อย โดยให้สัมภาษณ์ผ่านทาง เทเลกราฟ หนังสือพิมพ์ของอังกฤษว่าได้ตอบจดหมายกลับไปยัง ฟีฟ่า แล้ว พร้อมทั้งบอกว่ามีเอกสารที่จะใช้เป็นหลักฐานว่าดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตาม กฎหมายครบถ้วน โดยก่อนหน้านี้ วรวีร์ บอกผ่านสื่อมวลชนไทยว่าได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะยก ที่ดินของตนให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อใช้ในการก่อสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ

อนึ่ง วรวีร์ มะกูดี เป็น 1 ใน 4 บอร์ดบริหารของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ที่ถูก ลอร์ด เดวิด ทรีสแมน อดีตประธานสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) กล่าวหาว่าขอรับผลประโยชน์จากอังกฤษ แลกกับการโหวตให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายในปี 2018 โดยระบุว่า “บังยี” ขอรับเงินค่าลิขสิทธิ์โทรทัศน์จากเกมกระชับมิตรระหว่างทั้ง 2 ชาติที่เคยมีการเจรจากันมาก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายแมตช์ถูกล้มเลิกไปในที่สุดหลังจาก รัสเซีย ชนะการโหวตจนได้เป็นเจ้าภาพ ก่อนที่นายกลูกหนังไทยจะพ้นจากข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอ