ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานคนดังแห่งวงการลูกหนังโลก ซูฮก โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กุนซือ เชลซี และบรรดาลูกทีม "สิงห์บลูส์" ทำได้เยี่ยมจริงๆ เปลี่ยนสถานะจากทีมที่กำลังเป๋ กลายเป็นแชมป์ยุโรป ชี้ทีมของ ดิ มัตเตโอ มีความกระหายชัยชนะมากกว่าทีมใดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นที่ผ่านมา

ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานโลกลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นกุนซือ อัล วาเซิ่ล สโมสรชั้นนำลีกสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวชื่นชม โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ผู้จัดการทีม เชลซี สโมสรชื่อดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และบรรดานักเตะ "สิงห์บลูส์" ว่ามีความเป็นยอดนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม จนสามารถสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับหลายๆ ฝ่าย ด้วยการก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2011-12 ที่ผ่านมา ทั้งที่ตอนเริ่มซีซั่นใหม่ๆ ทีมไม่มีวี่แววที่จะประสบความสำเร็จ ภายใต้การนำทัพของกุนซือ อันเดร วิลลาช-โบอาช
 
 เกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันเสาร์ที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น เชลซี ถูกมองว่า เป็นรอง บาเยิร์น มิวนิค สโมสรยักษ์ใหญ่จากเวที บุนเดสลีกา เยอรมัน อยู่หลายขุม แต่สุดท้ายทีมของ ดิ มัตเตโอ ก็เป็นฝ่ายได้เฮ ด้วยการล้ม "เสือใต้" ในการดวลลูกจุดโทษ 4-3 หลังจบเกม 120 นาที เสมอกัน 1-1
 
"การที่ฟุตบอลเป็นสิ่งที่คาดเดาอะไรไม่ได้นี่แหละ ทำให้ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ใครจะไปคิดล่ะว่า กุนซือขัดตาทัพอย่าง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ จะได้ชูถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการล้มทีมเต็งอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ถึงบ้าน?"
 
"แล้ว ใครจะไปคิดล่ะว่า ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา หนุ่มวัย 34 ปี ซึ่งเคยถูก อันเดร วิลลาช-โบอาช ดองอยู่ข้างสนาม จะได้เป็นฮีโร่ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ด้วยการทำประตูตีเสมอ และเป็นคนซัดปิดท้ายในการดวลลูกโทษ พร้อมเติมเต็มความฝันให้กับ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมสุดรวย?"
 
 "แท็ก ติก, ความนอบน้อม และการมีไหวพริบ ถือเป็นปัจจัยสำคัญเลย อันดับแรก ดิ มัตเตโอ ได้เข้ามารวบรวมความสามัคคีภายในห้องแต่งตัว และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเลยคือ เขาได้นำความเป็นนักสู้เข้ามาสู่ทีม, ดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากบรรดานักเตะของเขาออกมาได้ เชลซี ไม่ใช่ทีมที่มีพรสวรรค์มากที่สุดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่พวกเขาเป็นทีม