ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » งานนี้ไม่ง่าย ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล เยือน คริสตัล พาเลซ

งานนี้ไม่ง่าย ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล เยือน คริสตัล พาเลซ

Posted 23/11/2019 by siamsport

หลังเสร็จสิ้นช่วงพักเบรกทีมชาติ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมสำคัญในการเยือน คริสตัล พาเลซ วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายนนี้ โดยพวกเขามีลุ้นกลายเป็นสโมสรที่ 4 ในประวัติศาสตร์ตามรอย แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล และ เชลซี ที่ไม่แพ้ให้กับทีมไหนในเกม พรีเมียร์ลีก ถึง 30 นัด หากบุกไปชนะหรือเสมอ "ดิ อีเกิ้ลส์"

    อย่างไรก็ตามเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน คงต้องเครียดพอสมควร เพราะเขาอาจจะขาด 2 แข้งสำคัญอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่มีอาการบาดเจ็บ และต้องลุ้นหนักว่าจะฟิตทันลงสนามในเกมเยือนถิ่นเซลเฮิร์สท์ พาร์ค จนถึงนาทีสุดท้ายเลยทีเดียว

    นอกจากนี้แมตช์พบ พาเลซ ยังมีความสำคัญมากๆ เพราะพวกเขามีโอกาสที่จะรักษาช่องว่างความห่างของคะแนนเท่าเดิม หรือมากกว่า โดยเฉพาะในกรณีของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี ซึ่งทั้งสองทีมต้องดวลกันในเกมลีกวันเสาร์นี้เช่นกัน

 


1. ขาดซาลาห์ ทำยังไง ?
    ดูเหมือนว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อาจจะฟิตไม่ทันในเกมเยือน พาเลซ ฉะนั้น คล็อปป์ จำเป็นอย่างยิ่งต้องหาแผนสำรองเพื่อรับมือกับการขาดหายไปของ "คิง ออฟ อียิปต์" แล้วใครที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระในการเล่นเกมบุกของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ ซาดิโอ มาเน่ ละ ? เพราะการใช้งาน ดิว็อค โอริกี้ ในฐานะตัวจริง ไม่ค่อยเวิร์กเท่ากับการเป็นซูเปอร์ซับ

    มองแล้วตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน จะเป็นตัวเลือกแรกของ กุนซือชาวเยอรมัน เนื่องจากนักเตะฟอร์มดีเหลือหลายในช่วงเดือนที่ผ่านมาทั้งกับทัพ "หงส์แดง" และกับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเจ้าตัวรับบทบาทในตำแหน่งปีกซะด้วย ทั้งนี้ "หนุ่มอ๊อกซ์" ถนัดกับการเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง

 

 

    คล็อปป์ รู้ว่าเขาสามารถดัน ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ขึ้นไปเล่นเป็นกองหน้าได้ โดย แชมเบอร์เลน เคยลงมาเล่นสนามเพื่อเล่นในตำแหน่งปีกขวาเกมที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่สาวก "เดอะ ค็อป" จะได้เห็นนักเตะลงตัวจริงเกมเยือน "ดิ อีเกิ้ลส์" วันเสาร์นี้

    จะว่าไปแล้วก็ถือว่าสมเหตุสมเหตุเพราะเมื่อเทียบฟอร์มในเวลานี้ แชมเบอร์เลน สมควรที่จะได้ลงเล่นตัวจริงในเกมสำคัญที่สนามเซลเฮิร์สท์ พาร์ค หลังจากเล่นได้ดีเหลือเกินทั้งในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, คาราบาว คัพ และทีมชาติอังกฤษ

     แล้วหากตัวเลือกไม่ใช่แชมเบอร์เลนละ ? งานนี้อาจจะได้เห็น คล็อปป์ ใช้งาน เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่เพิ่งจะหายเจ็บกลับมาลงฝึกซ้อมได้เต็มที่แล้ว แต่กระนั้นมันติดปัญหาตรงที่เขาเพิ่งได้เล่นไปแค่ 25 นาทีในฤดูกาล 2019/20 ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นร่วมกับทีม แม้ไม่มีใครปฏิเสธว่านักเตะรายนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และประสบการณ์ แต่ คล็อปป์ อาจยังไม่ค่อยเชื่อใจแข้งเลือดสวิส ในช่วงเวลานี้

 

 

2. มิลเนอร์ อาจต้องแทน โรเบิร์ตสัน
    สถานการณ์ของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก็คล้ายๆ กับ "บังโม" เพราะต้องรอเช็คสภาพความฟิตจนถึงนาทีสุดท้าย แต่หากทีมต้องขาด กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ จริงๆ งานนี้ คล็อปป์ น่าจะมีทางหนีทีไล่เอาไว้แล้วนั่นก็คือการใช้ เจมส์ มิลเนอร์ ดาวเตะสารพัดประโยชน์ ยืนบัญชาการแบ็กซ้าย

    "มิลลี่" เคยเล่นตำแหน่งนี้มาแล้วในฤดูกาลปัจจุบัน และเขาสามารถทดแทนได้แม้จะไม่โดดเด่นเทียบเท่า โรเบิร์ตสัน โดยเฉพาะจังหวะการเติมเกมรุก แต่ก็สามารถพึ่งพาได้ในยามคับขัน ที่สำคัญประสบการณ์, ความฟิต และคุณภาพของ อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษ เป็นสิ่งสำคัญมาก

 

 

    กระนั้น ลิเวอร์พูล อาจจะเสียพลังการขับเคลื่อนไปพอสมควร แต่หากมองย้อนไปในเกมชนะ "เดอะ ฟ็อกซ์" เลสเตอร์ ซิตี้ นั้น มิลเนอร์ ก็แสดงให้เห็นถึงทักษะในการผ่านบอลยาวที่โดดเด่น และยังสามารถเล่นเกมสวนกลับจากฝั่งตัวเองได้ดีซะด้วย อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า พาเลซ มี วินฟรีด ซาฮา ที่เคยปั่นป่วน มิลเนอร์ มาแล้วจนทำให้เขาโดนใบแดงเกมลีกซีซั่นที่ผ่านมา

    หาก มิลเนอร์ ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของ คล็อปป์ ละ ? ชื่อของ โจ โกเมซ ก็ผุดขึ้นมาทันที แล้วเขาจะเล่นแบ็กซ้ายได้ไหม ย้อนไปสมัยที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ คุมทัพ "หงส์แดง" เขาเป็นคนแรกที่ให้โอกาสนักเตะเล่นในตำแหน่งนี้ถึง 4 เกมติดต่อกัน และจากนั้นค่อยถูกขยับมาเล่นแบ็กขวา กับเซนเตอร์แบ็ก

    สำหรับแมตช์นี้การที่ทีมขาด โฌแอล มาติป แน่นอนว่า เดยัน ลอฟเรน ยังคงได้สิทธิ์การเป็นคู่หูกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ฉะนั้นโอกาสที่ โกเมซ จะได้ลงสนามก็คือการแทน โรเบิร์ตสัน แน่นอนว่านักเตะเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง และรวดเร็ว ซึ่งอาจจะทำผลงานได้ดีหากต้องดวลกับ ซาฮา มากกว่า มิลเนอร์ ที่เป็นรองปีกทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ เรื่องความไว

 


3. มาเน่ กุญแจสำคัญ
    ซาดิโอ มาเน่ ยังคงเป็นนักเตะสำคัญของ คล็อปป์ เสมอ โดยเฉพาะในยามที่ทีมอาจจะไม่มี สตาร์ชาวอียิปต์ ลงสนามในเกมวันเสาร์นี้ โดยเป็นไปได้ที่เขาจะถูกจับไปยืนฝั่งขวาซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ดี แต่จะมีจุดอ่อนตรงนี้เวลาที่วิ่งตัดเข้าในเพราะเขาอาจจะทำไม่ค่อยดีเนื่องจากไม่ถนัดเท้าซ้าย

    กระนั้นทางฝั่งขวา "หงส์แดง" มี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เล่นตำแหน่งฟูลแบ็ก ซึ่งเขามักจะคอยวิ่งขยับเติมเกมก่อนจะเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ โดยสิ่งนี้จะทำให้ กองหน้าทีมชาติเซเนกัล มีโอกาสเล่นได้อีสระมากยิ่งขึ้น และไม่จำเป็นต้องวิ่งฉีกไปเล่นทางกราบขวาบ่อยๆ

 

 

    ผลงานของ อดีตดาวเตะ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ยังคงเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องการ เพราะเขามักจะช่วยทีมได้ประตูสำคัญๆ มาแล้วหลายแมตช์ในฤดูกาลนี้ ที่โดดเด่นก็คือจังหวะเรียกจุดโทษช่วงท้ายเกมในแมตช์พบ เลสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ รวมทั้งโหม่งประตูชัยช่วงทดเจ็บชนะ แอสตัน วิลล่า

     ที่สำคัญ มาเน่ ซัดไปแล้ว 7 ประตูในพรีเมียร์ลีก มากกว่านักเตะทุกคนของ "เดอะ เร้ดส์" ในฤดูกาลนี้

 


4. ระวัง มิลิโวเยวิช, ซาฮา เอาไว้ให้ดี
    ถ้าหาก คริสตัล พาเลซ อยากได้ผลการแข่งขันที่ต้องการในเกมรับมือจ่าฝูงลีก พวกเขาต้องกล้าเล่น และพยายามครองบอลให้ได้มากที่สุดเพื่อประวิงเวลาหากว่าทีมมีโอกาสทำประตูขึ้นนำ ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ ไปก่อนในแมตช์สำคัญนี้

    บทบาทในตำแหน่งมิดฟิลด์ของ ลูก้า มิลิโวเยวิช จะเป็นกุญแจสำคัญในประเด็นนี้ โดย ดาวเตะทีมชาติเซอร์เบีย จะต้องงัดฟอร์มที่ดีที่สุดออกมา เพื่อจัดการการแผงกองกลางที่กำลังร้อนแรงของผู้มาเยือน นอกจากนี้ มิลิโวเยวิช ยังมีทีเด็ดในเรื่องการยิงจุดโทษ ฉะนั้นหากทีมได้จุดโทษสามารถใส่สกอร์ได้เลย

 

 

    จากสถิติของดาวเตะเลือดเซิร์บ เขาสร้างสรรค์โอกาสให้กับทีมได้ถึง 15 ครั้ง และตัดบอลได้ถึง 24 ครั้งในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี มากกว่าเพื่อนร่วมทีมในฤดูกาลนี้

    ส่วนอีกรายที่ "เดอะ เร้ดส์" หากละสายตาเด็ดขาดนั่นก็คือ วินฟรีด ซาฮา เพราะนักเตะรายนี้สามารถปั่นป่วนแนวรับคู่แข่งได้ตลอด โดยเฉพาะการเจอกับ ลิเวอร์พูล เพราะเจ้าตัวใช้ความเร็วบดขยี้ได้ตลอด และด้วยความเร็วของ อดีตดาวเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจทำให้ทีมเยือนพลาดทำเสียจุดโทษก็ได้

 

 

 5. วาทะลูกหนังสองกุนซือ
    "เราไม่คิดเรื่องการลุ้นแชมป์ นี่เป็นความท้าทายที่สำคัญมากๆ สำหรับเราในการเผชิญหน้ากับคำถามนี้มาตลอด เราพยายามเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ พยายามเก็บแต้มให้มากที่สุด และจากนั้นก็มี 26 เกมที่สุดท้าทายที่เราต้องเล่น โดยเกมต่อไปก็คือการพบ คริสตัล พาเลซ นี่เป็นความท้าทายที่สำคัญมาก ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องสนใจใคร เราไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นๆ" คล็อปป์ กล่าว

 

 

     "เรามีเกมสำคัญต้องเล่นกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ผมเลือกทีมและนักเตะคนไหนที่ไม่ได้ลงสนาม ผมต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ผมจะคิดถึงความเหมาะสมในการเล่น ผมเข้าใจว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา และผมเชื่อว่าเขา (คล็อปป์) ให้ความเคารพเราพอสมควร รวมทั้งสิ่งที่เราสามารถทำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก" รอย ฮ็อดจ์สัน ระบุ

 

 

สถิติ
เฮด ทู เฮด
- คริสตัล พาเลซ แพ้ 6 จาก 7 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีกที่ทั้งสองทีมพบกัน  (ชนะ 1 แพ้ 6) รวมทั้งแพ้ในบ้านต่อ "หงส์แดง"  4 นัดหลังสุด
- ลิเวอร์พูล ชนะ 5 เกมติดต่อกันในการเยือน "ดิ อีเกิ้ลส์" จากการแข่งขันทุกรายการ 
- "หงส์แดง" ยิงไป 24 ประตูในเกมลีกนัดเยือน พาเลซ มากกว่าทีมอื่นๆ ถึง 6 ประตู
 

คริสตัล พาเลซ
- พาเลซ ไม่ชนะ 4 เกมในพรีเมียร์ลีก แถมเสีย 2 ประตูทุกเกม (เสมอ 1 แพ้ 3)
- พวกเขาแพ้ 3 เกมติดต่อกันกับการเล่นเกมลีกในบ้านซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน
- "ดิ อีเกิ้ลส์" สะกดคำว่าชนะไม่เป็น 12 แมตช์ในพรีเมียร์ลีกที่สนามเซลเฮิร์สท์ พาร์ค ในการปะทะกับทีมท็อปซิกซ์ นับตั้งแต่ที่ชนะ เชลซี ในเดือนตุลาคม 2017 (เสมอ 2 แพ้ 10)
- รอย ฮ็อดจ์สัน นำทีมชนะแค่ 7 เกมจาก 20 แมตช์ในพรีเมียร์ลีกสมัยที่คุม ลิเวอร์พูล (เสมอ 4 แพ้ 9)
- ลูก้า มิลิโวเยวิช คาดหวังจะเล่นเกมที่ 100 ในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีให้กับ พาเลซ
- คริสติย็อง เบนเตเก้ ยิง 9 ประตูในเกมลีกให้ ลิเวอร์พูล และเคยซัดใส่ "หงส์แดง" มาแล้ว 6 ประตู
 

ลิเวอร์พูล
- พวกเขามีคะแนนนำคู่แข่ง 8 แต้มซึ่งมากเป็นอันดับ 2 หลังจากผ่านไป 12 แมตช์ในเกมลีก โดย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยนำห่าง 9 คะแนนจากจำนวนเกมเท่ากับในฤดูกาล 1993-94
- ลิเวอร์พูล แพ้แค่เกมเดียวจาก 51 เกมลีกที่ผ่านมา และไม่แพ้ใครเลย 29 แมตช์ 
- "เดอะ เร้ดส์" เป็นสโมสรเดียวในพรีเมียร์ลีกที่เก็บคลีนชีตไม่ได้เลยจากการเล่น 9 เกมที่ผ่านมาในทุกรายการ
- พวกเขาเคยเก็บคลีนชีตไม่ได้เลย 10 แมตช์ติดต่อกันเป็นครั้งแรกจากการเล่น 11 แมตช์ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน ปี 2006 ยุค ราฟาเอล เบนิเตซ
- ลิเวอร์พูล ชนะ 6 จาก 7 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีกโดยที่พวกเขาเสียประตูก่อน รวมถึงเกมชนะ คริสตัล พาเลซ 4-3 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
- ซาดิโอ มาเน่ ยิง 7 ประตูจาก 9 เกมในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในการปะทะกับ คริสตัล พาเลซ รวมถึงการส่งบอลซุกก้นตาข่าย "ดิ อีเกิ้ลส์"  4 เกมติดต่อกันแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »