สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซัดประตูปิดกลอ่งช่วย "สิงโตคำราม" อังกฤษ เปิดเวมบลีย์ ต้อนเก็บชัยเหนือ โปแลนด์ ไปแบบสุดมัน 2-0 คว้าสามแต้มไปได้สำเร็จพร้อมเข้ารอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติแชมป์กลุ่ม ในศึกฟุตบอลโลก 2014 (รอบคัดเลือก กลุ่มเอช.) เมื่อคืนวันอังคารที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา

ฟุตบอลโลก 2014

(รอบคัดเลือกโซนยุโรป กลุ่มเอช.)

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2556

อังกฤษ 2 - 0 โปแลนด์

สนาม : เวมบลีย์

        เกมนัดสุดท้ายอังกฤษจะได้ตั๋วบินสู่บราซิลทันทีหากพิชิตโปแลนด์ได้หลังจากนัดก่อนเมื่อวันศุกร์เฝ้าบ้านยำใหญ่มอนเตเนโกร 4-1

        นัดนี้เจ้าบ้านเปลี่ยนผู้เล่นสองรายโดยใช้งานคริส สมอลลิ่งเป็นแบ็คขวาแทนไคล์ วอล์คเกอร์ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลือง ขณะที่ไมเคิ่ล คาร์ริคดาวเตะจากแมนฯ ยูไนเต็ดอีกรายเบียดแฟร้งค์ แลมพาร์ดหล่นไปนั่งข้างสนาม ส่วนแอนดรอส ทาวน์เซนด์ผ่านการทดสอบความฟิตลงสนามได้

        ฝ่ายโปแลนด์ซึ่งตกรอบไปแล้วโดยนัดก่อนบุกไปแพ้ยูเครน 1-0 นำทัพโดยสองสตาร์ดังโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้ แต่มีเซอร์ไพรซ์ใช้งานนายทวารวอยเซียก เซสนีย์แทนที่จะเป็นอาร์เธอร์ โบรุค

        สิงโตคำรามทำเกมรุกตั้งแต่เกมเริ่มออกสตาร์ต และได้เสียวในนาทีที่ 8 จากจังหวะที่เลห์ตัน เบนส์บุกขึ้นมาทางซ้ายแล้วสาดบอลเข้าเสาแรกหมายให้แดนนี่ เวลเบ็คเข้าฮอส แต่มีอาร์เธอร์ เยเซซิกเข้ามาแหย่ออกหลังได้ก่อน

        นาทีต่อมา ทีมเยือนเกือบได้เฮเช่นกันเมื่อโต้เร็วขึ้นมาโดยโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้หาช่องตะบันจากหน้าเขตโทษได้ แต่บอลพุ่งเรียดไปเข้าซองโจ ฮาร์ทพอดี

        อึดใจเดียวในนาทีที่ 10 แฟนผู้ดีได้ลุ้นอีกจังหวะเมื่อทาวน์เซนด์สบโอกาสสับไกจาก 20 หลา และทำให้เซสนีย์ต้องกระโจนปัดให้พ้นกรอบ

        ถึงตรงนี้เกมเริ่มเปิดแล้ว และนาทีที่ 14 โปแลนด์บุกขึ้นมาดีก่อนจะจบที่วัลเดมาร์ โซโบต้าได้ลูกจ่ายหลุดเข้าไปกระทุ้งในกรอบเขตโทษด้านซ้าย แต่บอลเข้าปะทะหน้าต่าง

        ผ่านมาถึงนาทีที่ 23 ทีมเยือนได้โต้น่ากลัวอีกหนโดยโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ได้บอลจ่ายข้ามฟากจากกราบขวาทะลุเข้าเข่นในกรอบเขตโทษด้านซ้าย แต่ซัดออกเสาสองไปแบบน่าใจหายใจคว่ำ

        กระนั้นก็ดี อีกสองนาทีต่อมา อังกฤษเกือบมีสกอร์เช่นกันเมื่อดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ได้ลูกจ่ายจากทางขวาพลิกยิงระยะ 15 หลาติดกองหลังทีมเยือนที่เข้าขวางได้ทัน

        พริบตาต่อมาในนาทีที่ 26 เจ้าบ้านน่าจะขึ้นนำอย่างยิ่งเมื่อทาวน์เซนด์ระเบิดฟอร์มง้างยิงจาก 25 หลา แต่บอลลอยไปชนคานกระดอนออกมา สเตอร์ริดจ์จึงเข้าซ้ำเผาขนโดนเซสนีย์ปัดพ้นเสาแรกได้หวุดหวิด

        ถึงนาทีที่ 31 ทรี ไลอ้อนส์ได้เตะมุมจากด้านซ้าย และบอลมาตกให้เวลเบ็คซัลโวหกหลา แต่กองหน้าผิวสีเผด็จศึกออกเสาสองเหลือเชื่อ

        เกมของอังกฤษเริ่มเหนือกว่าชัดเจนแล้ว  กระทั่งนาทีที่ 34 สเตอร์ริดจ์ก็มีช่องสับไกจาก 25 หลา แต่บอลเฉี่ยวกรอบออกไป

        สิงโตคำรามบุกเป็นพายุโดยไม่ให้ทีมเยือนได้หายใจหายคอ และนาทีที่ 36 เป็นเวย์น รูนีย์บ้างที่ได้ซัลโวจากหน้าเขตโทษด้านซ้าย แต่เซสนีย์พุ่งปัดได้สำเร็จ

        กระนั้นก็ดี นาทีที่ 41 เสียงเฮก็ดังกระหึ่มเมื่อเบนส์มีพื้นที่วางบอลยาวจากกราบซ้ายเข้ามาหน้าประตูแล้วเป็นรูนีย์ที่โขกฝังจากหลาไม่พลาด เบิกสกอร์ให้อังกฤษนำ 1-0 จนได้

        เจ้าบ้านลุยต่อด้วยความฮึกเหิม และจากลูกเตะมุมด้านซ้ายในนาทีที่ 44 สเตอร์ริดจ์ก็ได้โหม่งที่เสาสองระยะหกหลา แต่บอลตกพื้นแล้วกระดอนข้ามคาน

        จังหวะต่อมาในนาทีเดียวกัน โปแลนด์โต้ขึ้นมาอีกแล้วโซโบต้าได้ลูกแทงทะลุหลุดเข้าซัดในกรอบเขตโทษระยะ 12 หลา แต่เป็นจังหวะล้ำหน้า จบครึ่งแรกอังกฤษจึงนำก่อน 1-0


     ครึ่งหลังโปแลนด์ส่งมาเตอุสซ์ คลิชลงเล่นแทนมาริอุซ์ เลวานดอฟสกี้  และแค่อึดใจเดียวคลิชก็ได้ลูกจ่ายจากทางขวาสับไกระยะ 18 หลา ดีที่ว่าบอลกระทบแกรี่ เคฮิลล์เปลี่ยนทิศออกนอกกรอบ

     เจ้าบ้านเอาคืนทันที และได้เสียวในนาทีที่ 51 จากลูกเตะมุมทางขวาที่เคฮิลล์ได้โขก แต่ถูกเซสนีย์ปัดที่เสาแรกได้

     กระทั่งนาทีที่ 60 โปแลนด์ก็หวิดตีเสมอได้จากการวางบอลยาวบริเวณกลางสนามที่เปิดทางให้โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้เกี่ยวติดหลุดเข้าเขตโทษไปจิ้มยิงด้วยปลายสตั๊ด แต่ฮาร์ทถลันออกมากางแขนกางขาบล็อคบอลได้อย่างเฉียดฉิว

     ขยับมาอีกสี่นาที อาคันตุกะใช้งานตัวสำรองอีกรายให้ซลาโวเมียร์ เปซโก้ลงไปแทนโซโบต้า

     รูปเกมของโปแลนด์อันตรายมากขึ้นแล้ว ทำให้สิงโตคำรามต้องเปลี่ยนผู้เล่นสำรองคนแรกโดยส่งแลมพาร์ดเสียบแทนคาร์ริคในนาทีที่ 71 ขณะที่โปแลนด์ปล่อยปีเตอร์ ซีเลนสกี้ลงเล่นเป็นตัวสำรองรายสุดท้ายแทนอาเดรียน เมียร์เซยิวสกี้ในนาทีที่ 75

     นาทีที่ 82 ส่ง แจ็ค วิลเชียร์ ลงมาแทน  ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และนาทีที่ 86 เปลี่ยน แอนดรอส ทาวน์เซนด์ โดยส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาแทน

     สิงโตมาได้เฮลั่นสนั่นสังเวียนอีกครั้งเมื่อได้ประตูสำคัญนำห่าง 2-0 นาทีที่ 88 เมื่อ เจมส์ มิลเนอร์ ที่พึ่งเปลี่ยนลงมาไม่กี่นาทีกระดกบอลส่งต่อให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก่อนเจ้าตัวกระชาเดี่ยวตัดบอลหลบผู้เล่น โปแลนด์ แล้วตัดสินใจใช้เท้าขวาดีดบอลหลอก เซสนีย์ นายด่านทีมเยือนเข้าเสาแรกไปไม่เหลือ

     ช่วงที่เหลือไม่มีการพังประตูกันได้ หมดเวลาทีมเมืองผู้ดีจึงคว้าชัยไปด้วยสกอร์ 2-0 ลอยลำเข้ารอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติในฐานะแชมป์กลุ่ม ปล่อยให้ยูเครนไปลุ้นในรอบเพลย์ออฟ

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม

     อังกฤษ : โจ ฮาร์ท , คริส สมอลลิ่ง , แกรี่ เคฮิลล์ , ฟิล จากิลก้า , เลห์ตัน เบนส์ , ไมเคิ่ล คาร์ริค (แฟร้งค์ แลมพาร์ด น.71) , สตีเว่น เจอร์ราร์ด ,แอนดรอส ทาวน์เซนด์ (เจมส์ มิลเนอร์ น.86) , เวย์น รูนีย์ , แดนนี่ เวลเบ็ค , ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ (แจ็ค วิลเชียร์ น.82)

     สำรอง : จอห์น รัดดี้ , ฟิล โจนส์ , คีแรน กิ๊บบ์ส    , รอสส์ บาร์คลีย์ ,เจอร์เมน เดโฟ , ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ,ริคกี้ แลมเบิร์ต , เฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์

     โปแลนด์ : วอยเซียก เซสนีย์ , เกรกอร์ซ วอยโคเวียก , อาร์เธอร์ เยเซซิก , คามิล กลิค  , ปีเตอร์ เซเลบัน , ยาคุบ บลาสซิคอฟสกี้ , อาเดรียน เมียร์เซยิวสกี้ ( ปีเตอร์ ซีลินสกี้ น.75)  , เกรกอร์ซ  คริโชเวียก , วัลเดมาร์ โซโบต้า  (ซลาโวเมียร์ เปซโก้ น.64) ,  มาริอุสซ์ เลวานดอฟสกี้ (มาเตอุสซ์ คลิช น.46)  , โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

     สำรอง : อาร์เธอร์ โบรุค , มาร์ซิน วาซิเลฟสกี้ , โทมัสซ์ โยโดลเวียก , อูเก้น โปลันสกี้  , ยาคุบ วาริซเนียก  , อาร์เธอร์ โซเบียก , ยาคุบ เซซนิซัก , ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้

     ผู้ตัดสิน : ดามีร์ สโคมิน่า (สโลวีเนีย)