ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » เกมรับมีปัญหา, ซาลาห์ตำนานบทใหม่! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกเฉือน แอต.มาดริด

เกมรับมีปัญหา, ซาลาห์ตำนานบทใหม่! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกเฉือน แอต.มาดริด

Posted 20/10/2021 by siamsport

ลิเวอร์พูล ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในแมตช์บุกชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่ง กลุ่ม กลุ่ม บี เมื่อวันอังคารที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้พวกเขายึดจ่าฝูงเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
    แม้ว่า "หงส์แดง" จะบุกไปเก็บ 3 คะแนนได้ถึงถิ่นว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่ แต่ก็ต้องบอกว่าทำเอาสาวก "เดอะ ค็อป" ใจหายใจคว่ำเหลือเกิน เพราะโดนเจ้าบ้านไล่ตามตีเสมอในช่วงครึ่งแรก และเกือบเสียประตูหลายครั้งจากจังหวะการเล่นสวมกลับที่สุดอันตรายของ "ตราหมี"

    จบเกมนี้เชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ คงจะต้องมีการเรียกลูกทีมมาติวเข้ม เพราะฟอร์มที่ค่อนข้างหละหลวมในเกมรับ ส่วนเกมรุกดูวูบวาบในช่วงแรกแต่หลังจากนั้นก็โดน แอต.มาดริด จัดการจนอยู่หมัด


    งานนี้หาก "เดอะ เร้ดส์" ไม่สามารถยกระดับในการเล่นให้ยอดเยี่ยมมากกว่านี้ แมตช์ต่อไปที่ต้องทำศึก "แดงเดือด" กับ แมนเชเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมีผู้เล่นเกมรุกที่มีทั้งความเร็ว และความสามารถเฉพาะตัวสูง อาจจะส่งผลเสียหายก็เป็นได้

 

1. ซาลาห์ สร้างประวัติศาสตร์สโมสร
    ตอนนี้เชื่อว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงเรียกร้องให้สโมสรรีบจับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ขยายสัญญาให้เร็วที่สุด และยอมรับข้อเสนอของนักเตะเรื่องค่าเหนื่อย เพราะฟอร์มของเขาตอนนี้มันมีมูลค่าสูงกว่าเม็ดเงินที่ทีมจ่ายให้หลายร้อยเท่า

    "บังโม" รักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องสำหรับฤดูกาลนี้ โดยล่าสุดเขายังได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทัพ "หงส์แดง" เมื่อเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ยิงประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน

    ก่อนหน้านี้ ซาลาห์ จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายคู่แข่ง 8 แมตช์ติดต่อกันในเกมพบ เชลซี, ลีดส์ ยูไนเต็ด, เอซี มิลาน, คริสตัล พาเลซ, เบรนท์ฟอร์ด, เอซี ปอร์โต้, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และวัตฟอร์ด

    ล่าสุดก็จัดการกระซวก 2 ประตูในเกมบุกชนะ "ตราหมี" 3-2 ที่สนามว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่ ทำให้ตอนนี้ ซาลาห์ กลายเป็น "คิง ออฟ แอนฟิลด์" ไปอย่างสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่าแฟนบอล "หงส์แดง" อยากให้เขาอยู่กับสโมสรต่อไปนานๆ

    นอกจากนี้ ซาลาห์ ยังทำสถิติยิงประตูในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แซงหน้า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกัปตันทีมไปแล้ว ด้วยการซัดไป 31 ลูกจากการลงสนาม 48 แมตช์ ขณะที่ "สตีวี่จี" ซัดไป 30 ลูกจาก 87 เกม

    สำหรับตอนนี้ กองหน้าชาวอียิปต์ ซัดให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 12 ประตูจากการลงสนาม 11 แมตช์ในทุกรายการฤดูกาลนี้ โดย 7 ประตูมาจากผลงานในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 8 แมตช์ซะด้วย


 
2. เกอิต้า มีทั้งดีทั้งแย่
    นาบี เกอิต้า ได้รับความไว้วางใจจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ลงเล่นตัวจริงอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์กันว่าเขาคงต้องกลับไปอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรอง หลัง ฟาบินโญ่ ฟิตเต็มร้อยพร้อมลงสนามแมตช์นี้

    ต้องยอมรับว่า คล็อปป์ คิดถูกที่ส่ง เกอิต้า ลงสนามเนื่องจากในช่วง 12 นาทีแรกนักเตะชาวกินี โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด ช่วยให้เกมแดนกลางของ "หงส์แดง" เหนือกว่าเจ้าบ้านอย่างเห็นได้ชัด และมีส่วนในการเล่นเกมบุกอย่างต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ เกอิต้า ยังโชว์ความสุดยอดด้วยการวอลเลย์งามหยดชดช้อยส่งบอลเข้าไปนอนเล่นในตาข่ายทำเอากองเชียร์เจ้าบ้านเงียบกริบ และทำให้ ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ มีสกอร์นำห่าง 2-0

    อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นฟอร์มของ เกอิต้า ก็ดร็อปลงไปดื้อๆ โดยเฉพาะในการเล่นเกมรับซึ่งต้องบอกว่าเขามีส่วนกับสองประตูที่ทีมเสียไป ทั้งการโดน  โตมาร์ เลอมาร์ หลอกบริเวณริมเส้น จนนำไปสู่การได้ประตูตีไข่แตกของแอต.มาดริด และการเบียด ชูเอา เฟลิกซ์ ไม่อยู่ สุดท้ายก็เลยโดนตีเสมอ

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คล็อปป์ ตัดสินใจแก้เกมทันทีในช่วงพักครึ่งด้วยการส่ง ฟาบินโญ่ ลงมาแทน เพราะหากยังฝืนใช้งาน เกอิต้า ต่อไป มีสิทธิ์ที่ทีมอาจจะต้อง "ตราหมี" สอยตาข่ายเพิ่มก็ได้

 

3. บอลสวน "ตราหมี" สุดอันตราย
    คล็อปป์ รู้อยู่เต็มอกว่าบอลสไตล์ของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เป็นแบบไหน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับการเล่นแบบนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะการสวนกลับที่เต็มไปด้วยความเฉียบคมของเจ้าบ้าน

    จริงๆ แล้ว "ตราหมี" ตั้งใจมาเล่นในสไตล์เกมรับเหนียวแน่นและรอจังหวะที่ "หงส์แดง" บุกเพลินๆ หรือเสียบอลเอง จากนั้นก็ใช้ศักยภาพในเกมรุกสวนกลับฉับพลัน ซึ่งแท็กติกนี้ คล็อปป์ แอนด์โค. ก็เคยเจอมาแล้ว

    แน่นอนว่าการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้สกอร์นำ 2-0 ถือว่าเป็นไปตามแผนที่ กุนซือชาวเยอรมัน ต้องการ เพราะจะทำให้แอต.มาดริด ต้องเปิดเกมบุกมากขึ้น และนำไปสู่พื้นที่ว่างในเกมรับ ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสเจาะตาข่ายเพิ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตามการเล่นที่หละหลวมในเกมรับส่งผลเสียหายต่อ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง ขณะเดียวกันต้องชื่นชมลูกทีมของ ซิเมโอเน่ ที่เล่นตามแท็กติกได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสามารถจัดการให้เป็นประตูได้ทันที

    จะว่าไปแล้วหลังจากที่โดนนำ 0-2 แอต. มาดริด ก็เล่นเกมรุกได้เหนือกว่าทีมเยือน สร้างโอกาสได้หลายครั้ง ขณะเดียวกันตอนที่สกอร์เสมอ 2-2 พวกเขายิ่งมีจังหวะสวนกลับได้ตลอด แต่โชคดีที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ช่วยเซฟได้หลายครั้งไม่งั้นบทสรุปคงไม่ใช่แบบนี้

 

4. เฮนโด้คนเดียวแบกแดนกลางไม่ไหว
    การที่ ลิเวอร์พูล เลือกใช้งาน เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิต้า และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เนื่องจาก คล็อปป์ มองการณ์ไกลไปถึงเกมหน้าที่จะต้องเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เลือกรักษาสภาพความฟิตของ ฟาบินโญ่ เอาไว้ก่อน

    ในช่วง 12 นาทีแรกดูเหมือนว่าแดนกลางของ "หงส์แดง" จะข่ม แอต. มาดริด ได้ตลอด แต่หลังจากนั้นกลายเป็นเจ้าบ้านที่กดดันใส่ทีมเยือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แผงมิดฟิลด์ "กัปตันเฮนโด้" ไม่สามารถรับมือกับความวูบวามของ  เลอมาร์, โกเก้, โรดริโก้ เด ปอล และ เฟลิกซ์ ได้เลย

    ทั้ง เกอิต้า และ มิลเนอร์ ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระ เฮนเดอร์สัน ได้สุดท้าย คล็อปป์ จึงจำเป็นต้องรีบปรับเปลี่ยนแปลงแท็กติกด้วยการส่ง ฟาบินโญ่ ลงมาแทน เกอิต้า ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการแก้เกมที่ยอดเยี่ยมของ กุนซือชาวเยอรมัน เพราะหลังจากนั้นแผงมิดฟิลด์ของ "หงส์แดง" เริ่มกลับมามีสมดุลมากยิ่งขึ้น

    กระนั้นจุดเปลี่ยนของเกมนี้อยู่ที่การโดนไล่ออกของ กรีซมันน์ นั่นทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามก็ต้องยกเครดิตให้กับ ฟาบินโญ่ ที่ลงมาเติมเต็มแดนกลางของทีม และช่วยงานของ เฮนเดอร์สัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. เกมรับต้องปรับปรุงก่อนเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
    จุดที่ คล็อปป์ ต้องรีบกลับไปจัดการให้เร็วที่สุดนั่นก็คือการเล่นเกมรับโดยเฉพาะฝั่งขวาระหว่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ โฌแอล มาติป เนื่องจากทีมโดนเจาะทางฝั่งนี้หลายครั้ง

    จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เฉพาะฝั่งขวาเท่านั้น แต่ยังรวมทั้งแผงแบ็กโฟร์ เพราะพวกเขาเกือบเสียประตูหลายครั้งจากการโดนเกมสวนกลับของ แอต. มาดริด โจมตีโดยเฉพาะตรงคู่เซนเตอร์แบ็กอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ มาติป ก็เกือบเสียท่าหลายครั้ง

    ลองนึกดูว่าในแมตช์ต่อไปที่ต้องพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมีผู้เล่นเกมรุกที่เร็วยิ่งกว่าจรวดหลายครั้ง และยังมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยืนเป็นหน้าเป้า ฉะนั้นหากเปิดช่องโหว่เหมือนกับเกมดวล "ตราหมี" มีสิทธิ์ที่พวกเขาจะเสียประตูแน่นอน

    ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นการบ้านข้อใหญ่ที่ ยอดกุนซือเลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องเรียกแผงแบ็กโฟร์มาติวเข้มเป็นการด่วน เพราะในการทำศึก "แดงเดือด" บรรดาแข้ง "ปีศาจแดง" กระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะยัดเยียดความปราชัยเกมแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ ใจจะขาดอยู่แล้ว !!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • ขอเท่าไหร่ให้ไปเหอะ!ซาลาห์สุดยอดแข้งคนแรกลิเวอร์พูลซัด9เกมติด
    โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แนวรุกสุดเทพของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นแข้งคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ตะบันประตูให้กับทีม 9 แมตช์ติดต่อกัน หลังล่าสุดเพิ่งช่วยทัพ "หงส์แดง" บุกสอย แอต.มาดริด ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
  • ซาลาห์เบิ้ล,กรีซมันน์โดนแดง! ลิเวอร์พูลบุกสอยแอต.มาดริดสุดมันส์คว้าชัย100%
    "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล นำโด่งเป็นจ่าฝูงกลุ่ม บี ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยสถิติคว้าชัยรวดทั้ง 3 นัด หลังบุกไปเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-2 เมื่อคืนวันอังคารที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยที่ได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำคนเดียวสองตุง รวมถึงประตูชัย ขณะที่ อ็องตวน กรีซมันน์ เหมาทำสองลูกให้ "ตราหมี" ก่อนโดนไล่ออกช่วงต้นครึ่งหลัง
  • แข้งลิเวอร์พูลนำทัพ!ทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 8
    3 แข้งจากค่าย "หงส์แดง" เรียงหน้าติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ ส่วนผู้เล่นคนอื่น ๆ มีจากทั้ง เชลซี, เลสเตอร์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีใครบ้างที่อยู่ในทีมนี้บ้าง
  • ลิเวอร์พูลเน้นเฮ! "ซาลาห์-ฟีร์มีโน่"นำเกมรุกบุกแอต.มาดริดจัด"ซัวเรซ"ล้างแค้น
    "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ฟอร์มล่าสุดโหดเต็มพิกัด นัดนี้ยังน่าใส่สามประสานเกมรุกนำโดย "ซาลาห์-ฟีร์มีโน่" เน้นเก็บชัยเยือนถิ่น "ตราหมี" แอตฯ มาดริด ที่ได้พักเต็มที่เนื่องจากมีผู้เล่นอเมกาใต้ไปรับใช้ชาติ ทางลีกอนุญาติงดแข่งในลีก มีอดีตหอกทีมเยือน "หลุยส์ ซัวเรซ" พร้อมซัดตาข่าย ในการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี คืนวันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »