สนาม : ซานติอาโก เบร์นาเบว, มาดริด สเปน

        "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ จ่อคว้าแชมป์ ลา ลีกา เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หลังบุกไปเอาชนะ บาร์เซโลน่า คู่ปรับตลอดกาล 2-1 ถึงรังคัมป์ นู ในศึก เอล กลาซิโก้ คืนวันเสาร์ที่
ผ่านมา จนมีแต้มทิ้งห่าง 7 คะแนน ขณะที่เหลือโปรแกรมอีกแค่ 4 นัด

        สภาพทีมเกมนี้ "เดอะ สเปเชียลวัน" ไม่มีอะไรน่าหนักใจเพิ่มเติม โดยเหลือแค่ ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ ที่ต้องรอลุ้นว่าจะมีชื่อกลับมาอยู่ในทีมเกมนี้หรือไม่ หลังทั้งคู่ไม่มีส่วนรวมตลอด  9 เกมหลังสุด

        การจัดทัพมีความเป็นไปได้สูงที่ มูรินโญ่ จะยึด 11 คนแรกเป็นชุดเดิมจากนัดแรกและศึก เอล กลาซิโก้ ครั้งล่าสุด โดยจุดน่าสนใจอยู่ที่ตำแหน่งแบ็กซ้ายที่ยังจะวางใจใช้ ฟาบิโอ โกเอนเตรา แบ็กซ้ายโปรตุกีสยืนประจำการต่อไป แม้ว่าเจ้าตัวจะทำผิดพลาดในเกมแรกจนทำให้ เรอัล แพ้ในช่วงท้ายเกมก็ตาม

        มิดฟิลด์คู่กลางใช้ ชาบี อลอนโซ่ จับคู่ ซามี่ เคดิร่า สามแนวรุกจากขวาไปซ้ายประกอบด้วย อังเคล ดิ มาเรีย, เมซุต โอซิล และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยมี ริคาร์โด้ กาก้า มีลุ้นสอดแทรกในตำแหน่งระหว่าง ดิ มาเรีย หรือ โอซิล หน้าเป้าวางใจให้ คาริม เบนเซม่า ลงล่าตาข่ายก่อน กอนซาโล่ อิกวาอิน เหมือนเดิม

        ด้าน "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค  ภายใต้การคุมทีมของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส พักแกนหลักไว้เกือบยกชุกในเกม บุนเดสลีกา ล่าสุดที่บุกไปชนะ เบรเมน 2-1 เพื่อรอมาตัดสินชี้ชะตากับ เรอัล มาดริด ในศึก แชมเปี้ยนส์ลีก เกมนี้  จะกลับมาใช้แข้งชุดใหญ่เต็มสูบอีกครั้ง หลังจากในลีกเสียแชมป์ให้กับ ดอร์ทมุนด์ เรียบร้อยแล้ว

        ชื่อของ ฟิลิปป์ ลาห์ม, ดาวิด อลาบา, เยโรม บัวเต็ง, โทนี่ โครส, อาร์เยน ร็อบเบน, ฟร้องค์ ริเบรี่ และ มาริโอ โกเมซ จะคืนทัพ 11 คนแรกอีกครั้ง เช่นเดียวกับ โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ ที่พ้นโทษแบนในเกมลีก ส่งผลให้บรรดาแข้งสำรองที่ได้ลงเล่นในเจอกับ เบรเมน อย่าง ราฟินญ่า, อนาโตลี ติมอสชุค, ดีเอโก้ คอนเทนโต้, ดานิเยล ปรานยิช, อิวิช่า โอลิช, ทาคาชิ อุซามิ และ นิลส์ พีเทอร์เซ่น จะกลับไปนั่งสำรองเหมือนเดิม

        ขณะที่แข้งเจ็บอยู่ก่อนแล้วอย่าง ดาเนียล ฟาน บุยเต็น (เรียกความฟิต) กับ เบรโน่ (เข่า) ไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เพราะปกติทั้งคู่ไม่ใช่แกนหลักอยู่แล้ว

        การจัดทัพคาดว่า 11 คนแรก ไฮย์เกส จะกลับมาใช้ชุดเดิมเหมือนเกมแรกที่อัลลิอันซ์ อารีน่า หมายความว่าตำแหน่งมิดฟิลด์คู่กลางจะเป็น ลุยซ์ กุสตาโว่ จับคู่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์

        แนวุกดัน โทนี่ โครส ขึ้นไปยืนเป็นจอมทัพ โดยมี อาร์เยน ร็อบเบน กับ ฟร้องค์ ริเบรี่ ที่เคลียร์ปัญหาคาใจกันเรียบร้อย กลับมาประจำการทำเกมริมเส้นขวาซ้ายตามลำดับ วาง มาริโอ โกเมซ ยืนหน้าเป้าคอยจบสกอร์  

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

        เรอัล มาดริด (4-2-3-1) : อีเกร์ กาซียาส - อัลบาโร่ อาร์เบลัว, เปเป้, เซร์คิโอ รามอส, ฟาบิโอ โกเอนเตรา - ซามี่ เคดิร่า, ชาบี อลอนโซ่ - อังเคล ดิ มาเรีย, เมซุต โอซิล, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ - คาริม เบนเซม่า

        บาเยิร์น มิวนิค (4-2-3-1) : มานูเอล นอยเออร์ - ฟิลิปป์ ลาห์ม, เยโรม บัวเต็ง, โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์, ดาวิด อลาบา - ลุยซ์ กุสตาโว่, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ - อาร์เยน ร็อบเบน, โทนี่ โครส, ฟร้องค์ ริเบรี่ - มาริโอ โกเมซ

        ผู้ตัดสิน : วิคตอร์ คาสไซ (ฮังการี)

เกร็ดสถิติที่น่าสนใจ   เรอัล มาดริด V.S. บาเยิร์น

- พลิกปูมการเผชิญหน้ากันในอดีตทั้ง 19 ครั้งนั้น บาเยิร์น ทำผลงานได้เหนือกว่าด้วยการคว้าชัยไปได้ 11 ส่วน เรอัล มาดริด นั้นชนะไปได้ 6 เกม ซึ่งราชันชุดขาวมีสถิติเล่นในบ้านพบสโมสรดังคว้าแคว้นบาวาเรียน ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 2
- ทั้งสองทีมพบกันมา 4 ครั้งก่อนหน้านี้ในยูโรเปี้ยน คัพ รอบรองชนะเลิศโดย บาเยิร์น ผ่านเข้ารอบได้ 3 ครั้ง (1976, 1987, 2001) ส่วน มาดริด ทำได้เพียงแค่ครั้งเดียว (2000) ซึ่ง อีเกร์ กาซียาส นายทวารจอมหนึบทีมชาติสเปน เป็นเพียงคนเดียวที่ยังหลงเหลือมาจากทั้งสองทีมที่เคยดวลกันในรอบนี้ก่อน หน้านั้น
- มาดริด คว้าชัยมาได้ถึง 10 จาก 11 เกมหลังสุดในฟุตบอลยุโรปที่บ้านตัวเอง โดยยิงได้ถึง 22 ประตูจาก 5 นัดในรังฤดูกาลนี้ พวกเขามีสถิติเล่นในบ้านพบทีมจากเยอรมัน ชนะ 17 เสมอ 3 แพ้ 2
- บาเยิร์น บุกคว้าชัยที่ บียาร์เรอัล ที่เมื่อกันยายนที่ผ่านมาซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาไปเยือนสเปนตั้งแต่ปี 2001 เสือใต้มีสถิติไปเยือนแดนกระทิงดุ ชนะ 5 เสมอ 4 แพ้ 9
- ขณะเดียวกัน บาเยิร์น มีสถิติชนะ 7 แพ้ 6 นัดในการเล่นสองเลกพบทีมจากสเปนในทุกรายการของฟุตบอลยุโรป ส่วน เรอัล มาดริด มีสถิติพบทีมจากเยอรมัน
ชนะ 10 แพ้ 7 นัด
- ราชันชุดขาว มีสถิติเล่นในยูโรเปี้ยน คัพ รอบรองชนะเลิศ 23 ครั้ง และพวกเขาก็กำลังมองหาโอกาสผ่านเข้าไปยังรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 13 โดยในรอบรองชนะเลิศนั้นมีสถิติ ชนะ 12 แพ้ 10
- มาดริด เอาชนะได้ทั้ง 3 ครั้งในศึกฟุตบอลยุโรปรอบชิงชนะเลิศที่พบกับทีมจากเยอรมัน โดยพวกเขาคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพในปี 1959-60 หลังจากถล่ม แฟร้งค์เฟิร์ต 7-3, ชนะ โคโลญจน์ ในยูฟ่า คัพ ปี 1985-86 และก็ชนะ เลเวอร์คูเซ่น ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2001-02
- บาเยิร์น เคยเอาชนะทีมจากสเปนในยูโรเปี้ยน คัพ รอบชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง โดยชนะ แอตเลติโก มาดริด หลังจากต้องเล่นถึงนัดรีเพลย์ในปี 1973-74 และ บาเลนเซีย ในช่วงดวลจุดโทษในปี 2000-01
- จาก 35 ครั้งในฟุตบอลยุโรปที่ เรอัล มาดริด บุกไปแพ้ในเกมเยือนเลกแรกมาก่อน พวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้ 22 ครั้ง และพวกเขาก็เคยแพ้เกมเยือนเลกแรกมาด้วยสกอร์ 1-2 ก็มีสถิติผ่านเข้ารอบ 5 และตกรอบ 2 ครั้ง ซึ่งล่าสุดคือการพบ โรม่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2007-08 (ชนะในบ้าน 2-1)
- บาเยิร์น มีสถิติคว้าชัยในบ้านเลกแรกมา 46 ครั้งในฟุตบอลยุโรป และพวกเขาก็ผ่านเข้ารอบได้ถึง 38 ครั้ง รวมถึงตลอด 6 ครั้งหลังสุดด้วย (3 ครั้งในเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศปี 2010) และทั้งหมดที่พวกเขาเอาชนะในบ้านเลกแรกไปด้วยสกอร์ 2-1 นั้นมีสถิติผ่านเข้ารอบ 4 และตกรอบ 3 ครั้ง
- จุ๊ปป์ ไฮน์เกส เคยคุมทีม เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 1997-98 ซึ่งตอนนั้นเขาพาทีมจบในอันดับสี่ของลา ลีกา นอกจากนี้เขายังเคยคุมทีมอื่นๆ ของสเปนคือ แอธ. บิลเบา (1992 ถึง 94 และ 2000 ถึง 03) และ เตเนริเฟ่ (1996-97)
- อย่างไรก็ดี ไฮน์เกส ยังไม่เคยคุมทีมเอาชนะสโมสรจากสเปนได้เลยในการเล่นศึกยุโรปแบบสองเลก เขาคุมทีมแพ้ไปถึง 4 ครั้งรวมถึงเกมที่พา เบนฟิก้า แพ้ เซลต้า บีโก้ 0-7 ในศึกยูฟ่า คัพ ปี 1999-2000 และเป็นที่เหลือเชื่อคือในยูฟ่า คัพปี 1985-86 ที่เขาคุม มึนเช่นกลัดบัค เอาชนะ เรอัล มาดริด 5-1 ในบ้านตัวเองได้ก่อน แต่ก็ดันไปแพ้ด้วยกฎประตูทีมเยือน กับ เลเวอร์คูเซ่น เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เขาก็พาทีมแพ้ บียาร์เรอัล ในยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย
- กาก้า เคยยิงประตูใส่ บาเยิร์น ได้ในตอนที่ยังเล่นอยู่กับ เอซี มิลาน ทั้งสองซีซั่นคือปี 2005-06 และ 2006-07
- ฮามิต อัลตินท็อป ย้ายจาก บาเยิร์น มา เรอัล มาดริด เมื่อปี 2011 หลังจากลงเล่นไป 63 นัดและทำไป 7 ประตูในบุนเดสลีกาตลอด 4 ซีซั่นในมิวนิค
- ซามี่ เคดิร่า เคยลงสนามเผชิญหน้า บาเยิร์น 8 ครั้งในการเล่นทุกรายการให้ สตุ๊ตการ์ท ระหว่างปี 2006 ถึง 2010 โดยมีสถิติพาทีมชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 4 นัด